รอง ผบ.ตร.มอบโล่ประกาศเกียรติคุณ พ.ต.ท.ทงศักดิ์ โพธิ์หน่อง เจ้าของสำนวนคดี ครูจอมทรัพย์
ที่ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 4 พล.ต.อ.ดร.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเปิดโครง ฝึกอบรมการพัฒนาศักยภาพพนักงานสอบสวน ประจำปีงบประมาณ 2561 เพื่อเป็นการทบทวนความรู้ความสามารถ และเพิ่มพูนทักษะในการปฏิบัติงานด้านการสอบสวน ให้กับพนักงานสอบสวนในสังกัดตำรวจภูธรภาค4 ตามนโยบายของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
พร้อมกันนั้นได้มอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับ พ.ต.ท.ทงศักดิ์ โพธิ์โหน่ง อดีตรองผู้กำกับการ สอบสวน สภ.คำชะอี จ.มุกดาหาร และอดีตพนักงานสอบสวน สภ.เรณูนคร จ.นครพนม เจ้าของสำนวน การสอบสวนคดี อุบัติเหตุรถยนต์ชนคนเสียชีวิตในพื้นที่ อ.เรณูนคร จ.นครพนม เมื่อปี 2548 หรือเมื่อ ประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีผู้ต้องหาคือ นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร หรือ ศรีบุญหอม อดีตข้าราชการ ครูโรงเรียน แห่งหนึ่งใน จ.สกลนคร ซึ่งหลังจากได้รับการอภัยโทษ นางจอมทรัพย์ ได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือ จากศูนย์ช่วยเหลือลูกหนี้และประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระทรวงยุติธรรมจนนำมาสู่การรื้อฟื้นคดีดังกล่าว
พล.ต.อ.ดร.วิระชัย ทรงเมตตา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า นับเป็นแบบอย่างของพนักงานสอบสวนที่สมควรได้รับการยกย่องเชิดชู ในฐานะผู้ที่เดินหน้าทำงานด้วยความซื่อสัตย์ และยึดมั่นในพยานหลักฐานเป็นสำคัญ แม้ที่ผ่านมาจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่ในท้ายที่สุดศาลฎีกา ก็ได้ตัดสินยกคำร้องขอรื้อฟื้นคดีของนางจอมทรัพย์ และนำมาสู่การเปิดโปงขบวนการรับจ้างติดคุกแทน
ด้าน พ.ต.ท.ทงศักดิ์ โพธิ์โหน่ง อดีตรองผู้กำกับการ สอบสวน สภ.คำชะอี จ.มุกดาหาร กล่าวว่า รู้สึกดีใจและภาคภูมิใจที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้บังคับบัญชามอบโล่รางวัลให้เพื่อเป็นการยกย่อง ในฐานะพนักงานสอบสวนที่ปฏิบัติหน้าด้วยความตั้งใจและยึดมั่นในพยานหลักฐาน แม้ว่าในช่วงที่มีการรื้อฟื้นคดีอุบัติเหตุรถยนต์ชนคนเสียชีวิตที่มีนางจอมทรัพย์ ศรีบุญหอม หรือ แสนเมืองโคตร เป็นผู้ต้องหา และอดีตผู้ต้องโทษ ตนจะถูกกระแสสังคมโจมตีและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง แต่ก็ไม่รู้สึกท้อ ได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว พร้อมฝากไปถึงพนักงานสอบสอบสวนรุ่นหลังว่า ไม่ว่าการทำคดีจะมีแรงกดดันมากแค่ไหน ก็ขอให้ยึดมั่นในพยานหลักฐาน โดยเฉพาะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นสำคัญ เพราะพยานบุคคลสามารถให้การกลับไปกลับมาได้ ซึ่งแตกต่างจากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์