"จุรินทร์"ถามนโยบาย"ดิจิทัล วอลเล็ต" เอาเงินมาจากไหน เหตุงบประมาณปี 67 จะเหลือเงินให้รัฐบาลใช้ไม่เกิน 2 แสนล้าน แต่นโยบายนี้ใช้เงิน 5.6 แสนล้าน
เมื่อวันที่ 12 ก.ย.66 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงการอภิปรายนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า รัฐบาลก็ฟังเรื่องที่ตนเสนอแนะไปในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้มีความชัดเจนคลายความกังวล เพราะในนโยบายรัฐบาลเขียนแค่ว่าไม่แก้รัฐธรรมนูญในหมวดสอง ซึ่งสิ่งนั้นตนก็สนับสนุน แต่ไม่มีระบุว่าจะไม่แก้หมวดหนึ่งด้วย ซึ่งหมวดหนึ่งก็มีความสำคัญ เพราะหมวดหนึ่งเป็นหมวดที่ระบุว่าประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ ซึ่งขณะนี้ต้องยอมรับความจริงว่าแนวคิดที่จะมีการแบ่งแยกผืนแผ่นดินไทยปรากฎชัดขึ้น ตนจึงขอให้รัฐบาลพูดให้ชัดเจน หรือระบุให้ชัดเจนว่าถ้ามีการแก้รัฐธรรมนูญจะไม่มีการแตะทั้งหมวดหนึ่ง หมวดสอง เพราะนโยบายระบุไว้เพียงแค่ว่าไม่แตะหมวดสอง ซึ่งเมื่อวานนายกรัฐมนตรีก็ได้มารับรองว่าจะไม่มีการแก้ไข ทั้งหมวดหนึ่ง และ ทั้งหมวดสอง ซึ่งจะทำให้เกิดความชัดเจนขึ้น และถือว่าเป็นไปตามที่ตนได้ร้องขอและทักท้วงไว้
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า แต่ว่านโยบายอื่นๆก็ต้องถือว่ายังมีความคลุมเครือ และไม่ใช่คำตอบสุดท้าย คำตอบในหลายนโยบายยังไม่ตรงปก ยกตัวอย่างเช่น นโยบายเรื่องค่าแรงของผู้ใช้แรงงาน นโยบายเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาพืชผลการเกษตร ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไปผูกกับคำตอบที่มีเงื่อนไขว่าถ้าเศรษฐกิจดีขึ้นก็จะ 1 2 3 4 แต่ไม่ได้แปลว่า เมื่อไหร่ อย่างไร อย่างที่พูดไว้เมื่อครั้งหาเสียง รวมทั้งนโยบายทางการเกษตรที่ ตนถามว่าถ้าไม่ทำจำนำข้าว (ซึ่งตนไม่เห็นด้วยในนโยบายนี้) และไม่มีการประกันรายได้เกษตรกร ที่มีเงินส่วนต่าง จะมีนโยบายอะไรที่เป็นรูปธรรมมาทดแทนเพื่อแก้ปัญหาให้กับเกษตรกร ถ้าราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน มีเพียงมาตรการพักหนี้ ซึ่งเป็นเพียงมาตรการยาแดง
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า ส่วนนโยบายเงินดิจิทัลวอลเล็ตก็มีคำตอบแค่เพียงว่าจะไม่มีการกู้ ไม่เอาเงินกองทุนต่างๆมาใช้ และไม่เอาเงินหลวงตาบัวมาใช้ด้วย เพราะฉะนั้นก็มีคำถามว่าสุดท้ายจะเอาอะไรมาใช้ ซึ่งยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน อันนี้ตนวิจารณ์ตามเนื้อผ้า เพราะทุกคนก็ต้องการทราบโดยเฉพาะผู้มีความเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจ การเงิน การคลัง ของประเทศ ต่างก็ต้องการคำตอบ และก็ยังเหลืออีกทางหนึ่งคือการใช้งบประมาณ ซึ่งงบประมาณนั้นตนได้บอกแล้วว่าตนได้ถามในที่ประชุม ครม. ก่อนที่จะพ้นวาระรัฐบาล ว่างบประมาณปี พ.ศ.2567 ซึ่งยังมาไม่ถึง จะเหลือเงินให้รัฐบาลชุดใหม่ไปทำนโยบายใหม่ได้เท่าไหร่ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณตอบชัดเจนว่ามีงบประมาณไม่เกิน 200,000 ล้านบาท แต่นโยบายนี้ต้องใช้เงินทั้งหมด 560,000ล้านบาท เพราะฉะนั้นหากนำ 200,000 ล้านบาทมาใช้ ก็แปลว่าจะไม่เหลืองบประมาณให้ทำอย่างอื่นเลยแม้แต่นโยบายที่เขียนไว้ทั้งเล่ม และยังต้องหาเพิ่มอีก 360,000 ล้านบาท อันนั้นก็ยังขาดความชัดเจน เป็นนโยบายลักษณะการไปตายเอาดาบหน้า ยังไม่มีความชัดเจน
รักษาการหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวด้วยว่า การที่ตนถามไม่มีเจตนาจะไปกดดันแต่อย่างใด แต่เป็นสิทธิ์ที่ประชาชนต้องรู้ เมื่อครั้งหาเสียงก็เป็นหน้าที่ ของพรรคการเมืองที่กำหนดนโยบายต้องแจ้งคณะกรรมการการเลือกตั้งอยู่แล้ว เมื่อมาถึงถ้าวันนี้ทำไมถึงไม่สามารถตอบให้ชัดเจนได้ ตนก็ทำหน้าที่ทวงถามแทนประชาชน ประชาชนควรมีสิทธิ์ที่จะได้รับรู้
ผู้สื่อข่าวแจ้งว่า การอภิปรายวานนี้มีหลายภาคส่วนออกมาชื่นชมนายจุรินทร์ว่าทำหน้าที่อภิปรายที่ถือว่าทำได้ดีมากๆ นายจุรินทร์ กล่าวตอบว่า ต้องขอขอบคุณ เหมือนที่ตนเคยบอกว่า เมื่อเรามีหน้าที่อะไรก็ทำหน้าที่นั้นให้เต็มกำลังความสามารถเสมอ เป็นรัฐบาลก็ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่ตั้งใจปฎิบัติหน้าที่ในฐานะรองนายกฯรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อย่างเต็มกำลังความสามารถ เรารู้ว่าเรามีหน้าที่ทำอะไร เราก็ต้องทำเต็มที่ เมื่อมาเป็นฝ่ายค้านก็มีหน้าที่ในการตรวจสอบรัฐบาลแทนประชาชน ทวงถาม หาคำตอบ ที่ประชาชนต้องการ คำตอบ ก็จะทำหน้าที่ให้เต็มที่ ไม่ต้องกังวล “ผมซื่อสัตย์ ต่อการทำหน้าที่เสมอและขอขอบคุณที่ชื่นชม” นายจุรินทร์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าการทำหน้าที่ฝ่ายค้านร่วมกับพรรคก้าวไกลมีปัญหาหรือไม่ นายจุรินทร์ กล่าวว่า ไม่มีปัญหาอะไร เป็นวิถีทางประชาธิปไตยระบบรัฐสภา นักการเมืองที่ไม่เป็นรัฐบาลก็ต้องมารวมกันเป็นฝ่ายค้านไม่ใช่ว่าจะไปเลือกพรรคนั้นพรรคนี้พรรคนั้นได้ เหมือนกับการร่วมรัฐบาล มันเป็นคนละแบบ แต่เราก็ต้องตระหนักว่าเมื่อมาเป็นฝ่ายค้านเราต้องจับมือกันในการทำหน้าที่ตรวจสอบแทนประชาชน ถ้าไม่จับมือกันน้ำหนักการตรวจสอบก็จะหายไป เมื่อน้ำหนักการตรวจสอบหายไป คนขาดทุนคือประชาชนที่เลือกเรามา เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาเลยที่ประชาธิปัตย์ตระหนักในภารกิจ และตนก็เชื่อว่าก้าวไกลเองก็ตระหนักในภารกิจ ทำงานร่วมกันได้ไม่มีปัญหาอะไร