"ผู้การเต่า"ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงตำรวจอยู่ในเหตุการณ์ยิง "พ.ต.ต.ศิวกร" ปล่อยให้ผู้กระทำผิดหลบหนี ไม่ดำเนินการจับกุม ทำประชาชนสงสัย ให้รายงานผลใน 20 วัน
เมื่อวันที่ 8 ก.ย. 66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณี นายธนัญชัย หมั่นมาก หรือ "หน่อง" อายุ 45 ปี ลูกน้องของ นายประวีณ จันทร์คล้าย หรือ "กำนันนก" ก่อเหตุยิง พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว สว.ส.ทล.1 กก.2 บก.ทล. กลางงานเลี้ยงในบ้านพักของกำนันนกจนถึงแก่ชีวิต และกระสุนยังถูก พ.ต.ท.วศิน พันปี รอง ผกก.2 บก.ทล. บาดเจ็บ ด้านกำนันนกได้เข้ามอบตัวในเวลาต่อมาปฏิเสธว่าไม่ได้สั่งการนายธนัญชัยแต่อย่างใด ขณะที่ นายธนัญชัยหนีไปกบดานที่ จ.กาญจนบุรี โดนวิสามัญฆาตกรรมหลังจากไม่ยอมมอบตัวยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนของตำรวจทางหลวงที่ไปรวมงานเลี้ยงที่บ้านกำนันนกนั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) รักษาราชการแทนผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (รรท.ผบก.ทล. ) ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ระบุว่า คำสั่ง กองบังคับการตำรวจทางหลวงที่ 168 /2566เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง
ด้วยปรากฎข่าวสารทางสื่อหลายสำนักว่า เมื่อวันที่ 6 ก.ย.66 มีข้าราชการตำรวจทางหลวงหลายนาย ได้รับเชิญจากนายปวีณ จันทร์คล้าย หรือ กำนันนก ให้ไปร่วมรับประทานอาหารเย็นณ ลานหน้าบ้านเลขที่ 50 หมู่ที่ 2 ต.ตาก้อง อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐม ระหว่างนั้นนายปวีณ จันทร์คล้าย ได้พูดคุยกับ พ.ต.ต. ศิวกร สายบัว สารวัตรสถานีตำรวจทางหลวง 1กองกับการ2กองบังคับการตำรวจทางหลวง และเกิดความไม่พอใจ มีปากเสียงกัน หลังจากนั้นนายธนัญชัย หรือ หน่อง หมั่นมาก เป็นลูกน้องของนายปวีณ จันทร์คล้าย เดินเข้ามาประชิดตัวแล้วใช้ปืนไม่ทราบชนิดยิงไปที่ พ.ต.ต.ศิวกร สายบัว หลายนัดจนได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา และกระสุนปืนบางนัดยังไปถูก พ.ต.ท.วศิน พันปี ได้รับบาดเจ็บอีกด้วย เบื้องต้นรับฟังข้อเท็จจริงได้ว่า ในขณะเกิดเหตุมีข้าราชการตำรวจทางหลวงหลายนาย อยู่ในที่เกิดเหตุโดยที่การกระทำของนายธนัญชัย หมั่นมาก นั้นถือได้ว่าเป็นความผิดซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 78 ซึ่งบัญญัติให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีอำนาจทำการจับกุม แต่ข้าราชการตำรวจดังกล่าว กลับปล่อยให้ผู้กระทำผิดนั้นหลบหนีไปได้ ยังความสงสัยแก่ประชาชนทั่วไปว่า เหตุใดเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่ดำเนินการจับกุมผู้กระทำผิดตามกฎหมาย ซึ่งอาจกระทบต่อภาพลักษณ์การปฏิบัติงานของตำรวจทางหลวง นั้น
เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว รวมถึงเพื่อให้เกิดความชัดแจ้ง และความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกกล่าหา อาศัยความตามหนังสือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 013.1511637 ลงวันที่ 21เมษายน65 เรื่อง แนวทางและขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีร้องเรียนข้าราชการตำรวจ พนักงานราชการและลูกจ้างในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบด้วยบุคคล ดังต่อไปนี้
1. พ.ต.อ.ณัฐพงษ์ ปิตะบุตร รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง เป็นประธานกรรมการ
2.พ.ต.อ.ชวลิต ชวลิตพงศ์พันธุ์ผู้กำกับการ (สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวนกองบังคับการตำรวจทางหลวงเป็นกรรมการ
3. พ.ต.ท.รุ่งวิทย์ ขวัญมาสารวัตร ฝ่ายอำนวยการกองบังคับการตำรวจทางหลวงเป็นกรรมการและเลขานุการ
ทั้งนี้ ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ดำเนินการเกี่ยวกับการตรวจสอบข้อเท็จจริง อย่างเคร่งครัด และรายงานให้ทราบภายใน 20 วัน
อนึ่ง ถ้าคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เห็นว่ากรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยในเรื่องอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในคำสั่งนี้ หรือกรณีที่การตรวจสอบข้อเท็จจริงพาดพิงไปถึงข้าราชการตำรวจผู้อื่นและ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง พิจารณาในเบื้องต้นแล้วเห็นว่า ข้าราชการตำรวจผู้นั้นมีส่วนร่วมหรือมีส่วนเกี่ยวข้องในการกระทำในเรื่องที่ตรวจสอบนั้นอยู่ด้วย ให้คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทำการตรวจสอบต่อไป แล้วรายงานให้ทราบโดยเร็ว
สั่ง ณ วันที่ 7 ก.ย.66
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว
ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง