รมว.สธ. ให้นโยบาย อภ. สร้างความมั่นคงด้านยา

2018-02-26 18:00:06

รมว.สธ. ให้นโยบาย อภ. สร้างความมั่นคงด้านยา

Advertisement

รมว.สาธารณสุขมอบนโยบายให้ อภ.ร่วมกับภาคเอกชนสร้างความมั่นคงด้านยาของประเทศเติบโตไปด้วยกัน ประชาชนไทยเข้าถึงยาที่มีคุณภาพ



เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมคณะผู้บริหารตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบายการดำเนินงานขององค์การเภสัชกรรม (อภ.) 5 เรื่อง ได้แก่ 1.ความมั่นคงทางยาต้องมียาใช้เพียงพอ ไม่แข่งขันกับเอกชน และเติบโตไปด้วยกันร่วมมือกันสร้างการเข้าถึงยาของประชาชน2.คณะกรรมการองค์การเภสัชกรรมต้องมีความรู้ความสามารถด้านธุรกิจ 3.สนองนโยบายรัฐบาล เรื่องการส่งเสริมสมุนไพรไทย 4.มีธรรมาภิบาล ดำเนินการด้วยความโปร่งใส และ5.ดูแลผู้ปฏิบัติงานให้มีความสุขเพื่อให้องค์การเภสัชกรรมผลิตยาดี มีคุณภาพ ประชาชนเข้าถึงยาในราคาคุ้มค่าเป็นธรรม เป็นที่เชื่อถือของประชาชน


“4 ปีที่ผ่านมาเห็นความก้าวหน้าของ อภ. ทั้งด้านเทคโนโลยี วิสัยทัศน์ การพัฒนาคน ความโปร่งใส ที่จะมอบนโยบายในวันนี้คือ ขอให้สร้างความมั่นคงทางด้านยาเพื่อประชาชน จะทำให้ประเทศมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต้องทำงานเชิงรุก และยอมรับสิ่งใหม่ๆ ด้วย เพื่อให้เท่าเทียมกับองค์กรด้านนี้ของต่างประเทศ” รมว.สาธารณสุข กล่าว





ด้าน นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (ประธานบอร์ด อภ.) กล่าวว่า ได้ดำเนินการตามนโยบายของ รมว.สาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงยาที่จำเป็นในระบบสาธารณสุขอย่างทั่วถึง การผลิตและจัดหายาเชิงสังคมที่มีความจำเป็น เช่น ยากำพร้า ยาขาดแคลน ยาที่มีการใช้น้อยแต่จำเป็น ให้มีรายการมากขึ้น ขับเคลื่อนองค์การเภสัชกรรม 4.0 โดยวิจัย พัฒนา และผลิต ผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรม ภายใต้แนวคิด Smart Industry, Smart Office, Smart Marketing และ Smart Human Resource และเปลี่ยนผ่านไปสู่องค์กรที่มีการนำระบบดิจิตัล และ Big Data มาใช้ในการดำเนินงานให้มากขึ้น รวมทั้งผลักดันแผนงานโครงการที่สำคัญในอนาคตให้สำเร็จ ได้แก่ โครงการก่อสร้างโรงงานผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนกตามมาตรฐาน WHO-GMP ที่จ.สระบุรี ซึ่งการก่อสร้างโรงงานแล้วเสร็จ อยู่ระหว่างการทำสอบระบบต่างๆ อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อให้ได้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพตามมาตรฐาน ส่วนการวิจัยและพัฒนาวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ชนิด 3 สายพันธุ์ อยู่ระหว่างการทดสอบทางคลินิกระยะที่ 3 จะเสร็จในปี 2561 คาดว่าจะขึ้นทะเบียน อย.ได้ในปี 2563