"บิ๊กโจ๊ก" นำทีมแถลงจับกลุ่มคนจีน-ไทย ประกอบธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรให้คนจีนพักอาศัย โดยให้คนไทยเป็นนอมินีจัดตั้งบริษัทถือหุ้นแทน
เมื่อวันที่ 5 ก.ค.66 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ร่วมกับ จ.เชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แถลงผลการดำเนินคดีกลุ่มคนจีนและไทย ประกอบธุรกิจหมู่บ้านจัดสรรให้คนจีนพักอาศัย โดยให้คนไทยเป็นนอมินี ดำเนินการจัดตั้งบริษัทเพื่อถือหุ้นแทน
คดีนี้สืบเนื่องจากสื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มทุนจีนกว้านซื้อที่ดินสร้างหมู่บ้านจัดสรรใน จ.เชียงใหม่เป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับการพักอาศัยของกลุ่มคนจีน โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เข้าบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ จ.เชียงใหม่ ที่ดินจังหวัดเชียงใหม่ และ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่เข้าตรวจสอบและดำเนินคดีกับโครงการหมู่บ้านจัดสรรใน อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นการดำเนินกิจการของบริษัทเอกชน ในลักษณะให้คนไทยเป็นนอมินี ถือหุ้นแทนชาวจีน โดยในทางคดีพนักงานสอบสวน สภ.สันกำแพง และพนักงานอัยการจังหวัดเชียงใหม่ มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวแล้วนั้น 8 ราย คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลจังหวัดเชียงใหม่
ต่อมา พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการต่อเนื่องให้ตรวจสอบโครงการหมู่บ้านจัดสรร ซึ่งมีลักษณะและพฤติการณ์คล้ายกัน โดยฝ่ายสืบสวน บก.ตม.5 และ ภ.จว.เชียงใหม่ ได้ร่วมกันตรวจสอบหมู่บ้านใน อ.หางดง จ.เชียงใหม่ แบ่งออกเป็นที่ดินจำนวน 43 แปลงเนื้อที่รวม 22 ไร่ 1 งาน 1.7 ตารางว่า โดยพบว่า โครงการหมู่บ้านดังกล่าวมีบริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดิน 2 บริษัท ซึ่งมีพฤติการณ์จัดตั้งบริษัทมาเพื่อกระทำนิติกรรมอำพรางในการถือครองที่ดิน โดยมีการจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินทั้งแบบระยะยาวและแบบตลอดชีพให้กับคนจีนเพื่อสามารถอยู่อาศัยในที่ดินดังกล่าวได้เสมือนเป็นเจ้าของที่ดินและบริหารกิจการโดยกลุ่มคนจีนที่พักอาศัยอยู่ด้วยกันเอง ส่วนบริษัทเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 2 บริษัท มีการใช้ชื่อคนไทยเป็นกรรมการบริษัท แต่ไม่มีอำนาจในการบริหารกิจการและการเงินของบริษัท โดยมีการจดทะเบียนบริษัทเพื่อใช้ในการถือหุ้นแทนคนจีน ซึ่งฝ่ายสืบสวน บก.ตม.5 และ ภ.จว.เชียงใหม่ ได้รวบรวมพยานหลักฐานและเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.หางดง เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จำนวน 13 ราย แบ่งเป็นนิติบุคคล 3 บริษัท กลุ่มบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีน 4 ราย และ กลุ่มคนไทย 6 ราย
ในการดำเนินการตรวจสอบและสืบสวนสอบสวนอย่างต่อเนื่อง พบว่าทั้งโครงการหมู่บ้าน มีพฤติการณ์ให้คนไทยเป็นนอมินีในการประกอบกิจการแทนคนต่างด้าวโดยจะมีการตรวจสอบทรัพย์สิน เส้นทางการเงินและจัดการจำหน่ายที่ดินเพื่อให้กลับมาเป็นของคนไทย และหากพบว่าทรัพย์สินที่ได้มานั้น เป็นการหลีกเลี่ยงภาษี ซึ่งจะมีความผิดฐานฟอกเงิน จะได้ดำเนินการยึดทรัพย์ดังกล่าวต่อไป