ผบช.ภ.5 สั่งไล่ล่า "เจ้เปิ้ล" พร้อมสามี หลอกขายที่ดินใน จ.เชียงใหม่ ลำพูน เชิดเงินมัดดาวน์ ผู้เสียหายกว่า 400 ราย
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.66 เพล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ.5 พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ได้รับเรื่องร้องเรียนของความเป็นธรรมจากผู้เสียหายให้เร่งรัดติดตามจับกุมตัว "เจ้เปิ้ล" กับสามี ผู้ต้องหาซึ่งได้ถูกออกหมายจับแล้ว
สำหรับคดีนี้ เหตุเกิดประมาณปลายปี 64-ต้นปี 66 เจ้เปิ้ลพร้อมด้วยสามี ได้ให้นายหน้าไปหาซื้อที่ดินที่มีขนาดติดต่อกัน 10 ไร่ ขึ้นไป โดยไม่จำกัดพื้นที่ว่าสามารถขออนุญาตจัดสรรได้หรือไม่ เมื่อได้ที่ดินมาแล้ว เจ้เปิ้ล จะไปทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงดังกล่าวกับเจ้าของ จากนั้นจะทำการจัดสรร ทำผังแปลง แล้วจ้างนายหน้า ให้ทำการโฆษณาขายที่ดินแต่ละแปลง โดยมีการติดป้ายขาย ณ แปลงที่ดิน และมีการโฆษณาผ่านสื่อเฟซบุ๊ก และเพจขายอสังหริมทรัพย์ ต่างๆ และยังโฆษณาด้วยว่าต่างด้าวสามารถซื้อที่ดินดังกล่าวได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อผู้เสียหายสนใจซื้อ จะทำสัญญาจองแปลง 5,000 บาท จากนั้นนัดทำสัญญาและจ่ายเงินดาวน์ 30-50% ส่วนที่เหลือผ่อนจ่ายเป็นงวด รวม 36 งวด โดยไม่มีดอกเบี้ย แต่เมื่อผู้ต้องหาได้เงินแล้ว ไม่นำไปชำระค่าที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน เป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินยึดที่ดินคืน ไม่สามารถโอนขายให้กับผู้เสียหายได้ โดยพื้นที่ที่เจ้เปิ้ลกับสามีดำเนินการนำมาจัดสรรนั้น อยู่ในพื้นที่ อ.สารภี อ.สันกำแพง อ.แม่ริม จว.เชียงใหม่ และ อ.เมืองลำพูน รวมแล้วจำนวน 11 โครงการ ผู้เสียหายกว่า 400 ราย
พล.ต.ท.ปิยะ กล่าวว่า ได้รับทราบความเดือดร้อนของผู้เสียหายแล้ว พร้อมกันนี้ได้เรียกประชุมทีมพนักงานสืบสวนสอบสวน และมอบหมายให้ พล.ต.ต.วีรชน บุญทวี รอง ผบช.ภ 5 และ พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับคดีนี้อย่างเร่งด่วนที่สุด ให้ทำการสืบสวนสอบสวนและอายัดบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกราย พร้อมทั้งตรวจสอบเส้นทางการเงินอย่างละเอียดเพื่อติดตามเงินมาคืนให้กับผู้เสียหาย ทั้งนี้ในการติดตามจับกุมผู้ต้องหานั้น เวลานี้ผู้ต้องหาไม่ได้อยู่ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ แต่ยังไม่ได้หลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งจะเร่งจับกุมตัวให้ได้ภายใน 15 วัน นอกจากนี้ได้ให้ทีมสืบสวนดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานหาความเชื่อมโยงกับพนักงานขายที่เป็นทีมงานของผู้ต้องหาด้วยอีกกว่า 10 ราย ว่าจะมีส่วนรู้เห็นหรือไม่ เนื่องจากยังพบว่ามีการนำรูปแบบวิธีการเดียวกันไปใช้ในหลายโครงการตามพื้นที่ต่างๆของ จ.เชียงใหม่ ซึ่งถ้าพบว่าเป็นการกระทำความผิดอาญา จะดำเนินการกับผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาดทุกราย