อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนเผยเตรียมความพร้อมก่อนส่งเด็กอุ้มบุญ 13 คน ให้บิดาชาวญี่ปุ่นดูแล
เมื่อวันท่ี 20 ก.พ.นายวิทัศน์ เตชะบุญ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) ชี้แจงภายหลังศาลเยาวชนและครอบครัวกลางตัดสินคดีอุ้มบุญให้บิดาชาวญี่ปุ่นเป็นผู้ปกครองผู้เยาว์ท้ัง 13 คน แต่ฝ่ายเดียว ว่า พม.โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน ได้รับเด็กที่เกิดจากการอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ (อุ้มบุญ) เข้าอุปการะท่ีสถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด จํานวน 12 คน เพื่อเข้ารับการสงเคราะห์ และคุ้มครองสวัสดิภาพ เนื่องจากไม่มีบุคคลมาแสดงตนว่าเป็นบิดาและมารดาของเด็ก ไม่ทราบข้อมูลชัดเจน เก่ียวกับผู้ปกครองของเด็ก และไม่มีเอกสารหลักฐานระบุตัวตนของเด็ก ต่อมาเดือน พ.ย.2557 สถานสงเคราะห์เด็กบ้านเวียงพิงค์ จ.เชียงใหม่ ได้รับเด็กจากกรณีดังกล่าว อีก 1 คนเข้ารับการสงเคราะห์และ คุ้มครองสวัสดิภาพ รวมจํานวนเด็กกรณีอุ้มบุญดังกล่าวที่อยู่ในการดูแล ของสถานสงเคราะห์ทั้งสองแห่ง จํานวนทั้งส้ิน 13 คน เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2556 จากนั้นชายชาวญี่ปุ่นได้ยื่นคําร้องขออํานาจศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง และขออํานาจการปกครองเด็กดังกล่าว ซึ่งวันน้ีศาลมีคําสั่งให้ผู้เยาว์ท้ัง 13 คน เป็นบุตรโดยชอบ ด้วยกฎหมายของผู้ร้องนับแต่วันที่ผู้เยาว์ทั้ง 13 คนเกิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็กท่ีเกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ุทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มาตรา 56 กับให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อํานาจปกครอง ผู้เยาว์ท้ัง 13 คนแต่เพียงฝ่ายเดียว
นายวิทัศน์ กล่าวต่อว่า สําหรับกระบวนการดูแลเด็กท้ัง 13 คน หลังจากน้ี พม. โดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน จะมีการเตรียมความพร้อมให้เด็กในด้านต่างๆก่อนส่งให้ผู้ปกครองและครอบครัว อาทิ แจ้งเด็กให้รับทราบ ว่าใครเป็นผู้ปกครอง และให้เด็กดูภาพถ่ายบิดา เครือญาติ ผู้เลี้ยงดู และสภาพแวดล้อมรอบๆบ้าน ให้พี่เลี้ยงมาสร้าง ความคุ้นเคยกับเด็กที่สถานสงเคราะห์ พาเด็กไปสร้างความคุ้นเคยกับ พี่เลี้ยงที่บ้านพัก เตรียมข้อมูลเอกสาร ประวัติสุขภาพ พัฒนาการ ทะเบียนราษฎร์ และมอบเด็กกลับคืนสู่ครอบครัว รวมทั้งจะมีการติดตามผลการเลี้ยงดู สุขภาพ และพัฒนาการเป็นระยะต่อไป