10 คู่รักสยองขวัญฉลองวาเลนไทน์

2018-02-18 13:00:00

10 คู่รักสยองขวัญฉลองวาเลนไทน์

Advertisement

ในวันที่ทุกคนเลือกที่จะแสดงความรักต่อกัน หรือเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ที่ตนได้คิดไว้แล้วว่าเหมาะสมดี แต่กลับมีอีกหลายคู่ที่ใช้วันดีๆ วันนี้ จบปัญหาความรักทุกสิ่งลง ซึ่งวันนี้เราจะพาไปดูอีกด้านของวาเลนไทน์ และปลายทางของ 10 คู่รักที่ตัดสินใจทำบางสิ่งบางอย่างก่อให้เกิดเป็นคดีสยองขวัญ ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ที่เราๆ ท่านๆ ไม่มีทางเข้าใจ ...กับช่วง Topten Ranking by new 18



คดีที่ 1 คู่รักทรหดสูงอายุตัดสินใจจบชีวิตทั้งคู่ในวันแห่งความรัก
ในวันแห่งความรักของปี ค.ศ. 2015 ที่ผ่านมา หน่วยตำรวจนายอำเภอเมดิสันของรัฐแอละแบมา ได้พบศพสองสามีภรรยาสูงอายุนอนเสียชีวิตอยู่ภายในบ้าน หลังจากตรวจสอบจุดเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าน่าจะเกิดเหตุฆาตกรรมและฆ่าตัวตายตาม โดยหลักฐานในที่เกิดเหตุชี้ว่า สามีวัย 77 ปี เป็นผู้ลงมือใช้ปืนยิงภรรยาวัย 76 ปี จนแน่ใจว่าเธอเสียชีวิตแล้วจึงฆ่าตัวตายตาม จากรายงานของเว็บไซต์ AL.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของรัฐแอละมานั้น ได้เผยแพร่บันทึกของเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาไว้ว่า ในเหตุการณ์นี้ไม่พบว่ามีร่องรอยการต่อสู้ใดๆ และทั้งสามีภรรยาต่างก็มีโรคภัยรุมเร้ามาอย่างยาวนาน





คดีที่ 2 ออสกา พิสโทเรียส กับการตายปริศนาของคนรัก
ออสกา พิสโทเรียส ซึ่งขาพิการทั้งสองข้างและเป็นนักกีฬาพาราลิมปิกประเภทวิ่งแข่ง 200 และ 400 เมตร เจ้าของฉายาใบมีดลมกรด โดยเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2013 ออสกาได้ลั่นไกสังหารแฟนสาวผู้มีอาชีพเป็นนางแบบชื่อ รีวา สทีนคัมพ์ ภายในบ้านที่เปรโตเรียประเทศแอฟริกาใต้ โดยในตอนแรกนั้นออสกาถูกจับในข้อหาฆาตกรรม แต่ภายหลังจากการเบิกความในศาลออสกาพูดซ้ำๆ กันว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันคืออุบัติเหตุ เขาเพียงเข้าใจว่าภรรยาของเขานอกใจเท่านั้น โดยเหตุการณ์นี้ทำให้เหล่าสปอนเซอร์ของเขา ไม่ว่าจะเป็นค่ายมือถือ แว่นตานักกีฬา และรองเท้านักกีฬายี่ห้อดัง ต่างก็ออกมาแสดงความเสียใจและตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น



เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็พยายามหาสาเหตุว่า ออสกาเข้าใจอะไรผิดในตัวภรรยาจนถึงขนาดต้องตัดสินใจทำแบบนี้ พวกเขาก็พบว่าก่อนที่ออสกาจะตัดสินใจสังหารภรรยาตัวเองนั้น มันก็เพียงเพราะเขาไปพบข้อความที่รีวาโพสต์เอาไว้ในเฟซบุ๊กว่า “พรุ่งนี้คุณจะเอาแรงที่ไหนมาใช้ยกแขนกอดคนที่คุณรักได้”

ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ยังไม่ปักใจว่าสิ่งนี้คือสาเหตุที่แท้จริง และมองว่าบางทีในช่วงเวลาที่ก่อเหตุนั้น ออสกาอาจกำลังเมาสุราจนขาดสติก็ได้





(ออสกา พิสโทเรียส และ รีวา สทีมคัมพ์ แฟนนางแบบสาวสวย)

คดีที่ 3 หั่นศพเมียซุกไปทั่วบ้าน แถมหว่านเสน่ห์ใส่สาวต้องโทษคุกเดียวกัน
ในวันวาเลนไทน์ของปี ค.ศ. 2007 ณ สถานีตำรวจเมืองมาคอมบ์ รัฐวอชิงตันประเทศสหรัฐอเมริกา สตีเฟน แกรนท์ เดินเข้ามาแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าภรรยาของเขาหายไป แต่ 3 สัปดาห์ต่อมาศพของเธอก็ถูกพบในโรงรถของสตีเฟนนั่นเอง ภรรยาของเขาชื่อ ทารา ลินน์ อายุ 34 ปี ซึ่งถ้ามองกันด้วยตรรกะแบบตำรวจแล้ว คนร้ายมันก็ไม่น่าจะใช่ใครที่ไหนไกล เพราะลองเธอเสียชีวิตในโรงรถของบ้านสามีแบบนั้น คนร้ายก็ต้องไม่พ้นสตีเฟนนั่นเอง

แต่สิ่งที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ ในช่วงเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนสตีเฟนก่อนจะมาพบศพนั้น เขาบอกว่านอกจากภรรยาของเขาจะหายไปแล้ว ก็ยังมีแม่และลูกๆ อีก 2 คนที่หายไปตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ด้วยเช่นกัน และเขาก็ยังบอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกว่า ภรรยาของเขาน่าจะแอบกลับไปทำงานเดิมที่บ้านเกิดในเปอร์โตริโก และยังทะเลาะกับเขาก่อนที่เจ้าตัวจะขึ้นรถลึกลับสีดำสนิทจากไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ก็พบศพเพิ่มเติมอยู่ภายในบ้านของเขา ซึ่งศพที่ว่านี้ก็มีแต่เพียงชิ้นส่วนของร่างกายบางส่วน และพบอีกหลายส่วนอยู่ในบริเวณป่าใกล้ๆ สวนสาธารณะสโตนีครีคเมโทรพาร์ค ซึ่งสตีเฟนเองก็ยังไม่ยอมรับสารภาพ ทั้งๆ ที่พบซากศพอยู่ทนโท่แบบนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องควบคุมตัวของเขาเอาไว้ก่อน




(ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบข่าวเท่านั้น)

เพราะก่อนที่พวกเขาจะพบศพเหล่านี้ สตีเฟนนั้นดูเหมือนกับสามีผู้รักภรรยาเป็นอย่างมาก มันทำให้พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าสตีเฟนจะเป็นคนร้ายจริงๆ หรือเปล่า แถมยังพบจดหมายติดต่อจากภรรยาหลังที่เธอทิ้งเขาไป ว่ามันมาจากสถานที่หนึ่งในเปอร์โตริโก ซึ่งแน่นอนว่าในภายหลังเจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบว่าทั้งหมดนั้น มันเป็นเพียงจดหมายที่สตีเฟนทำปลอมขึ้นมาเพื่อใช้เป็นหลักฐานปลอมทั้งสิ้น

แถมสตีเฟนยังบอกกับเจ้าหน้าที่ตลอดในช่วงการสอบสวนว่า เขารู้ว่าภรรยาของเขานั้นกำลังแอบมีกิ๊ก ซึ่งกิ๊กคนนั้นก็คือชายหนุ่มที่ทำงานที่เดียวกับเธอ แถมยังพูดยืนยันกับตำรวจอีกว่า ให้เอาหัวของเขาเป็นประกันกับเรื่องนี้ได้เลย นั่นก็ยิ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มสับสน มองว่ามันก็เป็นไปได้ที่ทาร่าภรรยาของเขาจะแอบเดินทางกลับมา แล้วเกิดไปพบกับคนร้ายตัวจริงเข้าที่บริเวณใกล้บ้าน ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าเธอถูกคนร้ายฆ่าแล้วซ่อนศพเอาไว้ เพียงแต่มันก็ยังมีพิรุธที่จะต้องพิสูจน์กันต่อ แต่เพราะสตีเฟนยืนยันกันขนาดนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใจอ่อนพาตัวเขาไปตรวจสอบภายในบ้านอีกครั้ง แล้วอยู่ดีๆ สตีเฟนก็เผ่นหนีไปเลยเสียดื้อๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เลยต้องเหนื่อยตามหาตัวเขาจนทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะพยายามติดต่อกับญาติพี่น้องรวมไปถึงบ้านเพื่อน ไม่เว้นแม้แต่บ้านของทนายความของเขา





และทางเจ้าหน้าที่นายอำเภอ มาร์ค แฮกเคล เองก็ยังบอกกับนักข่าวว่า “ทุกๆ สิ่งที่สตีเฟนกระทำ รวมไปถึงสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจพบ มันก็ไม่ได้หมายความว่าสตีเฟนจะเป็นคนร้ายเสียหน่อย” ซึ่งสิ่งที่ท่านนายอำเภอกล่าวนั้น ก็ดูไม่ค่อยจะสอดคล้องกับหลักฐานชิ้นส่วนของศพที่พบในบ้านเลยแม้แต่น้อย แต่สุดท้ายสตีเฟนก็ถูกตามจับตัวกลับมาได้ และสารภาพทุกอย่างออกมาว่า เขาเป็นคนสังหารทุกคนในบ้านจริงๆ และต่อมาเขาก็ถูกนำตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำในเมืองมาคอมบ์ เพื่อรอพิพากษาโทษกันต่อไป

แต่ไหนๆ สตีเฟนก็ดูจะเป็นชายผู้ภักดีในความรักจนต้องสังหารภรรยา รวมถึงแม่และลูกของตัวเองแล้ว ก็ยังมีรายงานอีกว่าในช่วงที่เขาติดคุกอยู่นั้น เขาได้ส่งจดหมายรักหานักโทษหญิงคนหนึ่งชื่อเจนนิเฟอร์ ที่ต้องคดีฆาตกรรมเด็กหญิงอเล็กซานเดรีย อายุ 8 ขวบ และเด็กหญิงแอชลีย์ อายุ 5 ขวบ พร้อมกับสุนัขพันธ์ุปอมเมอเรเนียนอีกสามตัวในเมืองมาคอมบ์เช่นเดียวกัน โดยคดีนั้นเธอสารภาพว่า มีปิศาจบอกให้เธอสังหารเด็กๆ พร้อมกับสุนัข สตีเฟนได้ส่งจดหมายหาเจนนิเฟอร์มากกว่า 10 ฉบับ และที่มากกว่านั้นก็คือเขาเขียนชื่อตัวเองที่หน้าซองว่าซาร่า ซึ่งถ้าจะถามว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบได้อย่างไรว่าสตีเฟนเป็นคนเขียนจดหมายเหล่านี้ คำตอบมันก็ได้มาจากจดหมายตอบกลับของเจนนิเฟอร์ ที่เธอจ่าหน้าซองถึงสตีเฟน แกรนท์อย่างเจาะจงนั่นเอง

และข้อความจากจดหมายฉบับหนึ่งที่สตีเฟนส่งถึงเจนนิเฟอร์นั้น เขาได้เขียนเอาไว้ว่า “แล้วพบกันที่หน้าตู้เปลี่ยนเสื้อผ้านะจ๊ะ :)” ตามด้วยเครื่องหมายตัวอักษรแทนใบหน้ายิ้มหวาน อีกฉบับที่ถูกเจ้าหน้าที่เปิดอ่านก่อนส่งนั้น เขาก็เขียนเล่าถึงชีวิตอันแสนจะอาภัพของตัวเอง ไม่ว่าจะถูกภรรยาทิ้ง ลูกหาย แม่ไม่รัก และยังบอกอีกว่าเขาคิดถึงทุกคนมาก แถมยังเขียนอีกว่าเจนนิเฟอร์นั้นเป็นคนแรกที่เขาบอกเรื่องนี้ให้รู้ พอกลับมาถามกับเจนนิเฟอร์ว่าทำไมเธอถึงยอมส่งจดหมายคุยกับสตีเฟนเยอะแยะขนาดนี้ เธอก็ตอบกับเจ้าหน้าที่ว่า เธอแค่อยากรู้ว่าชายคนนี้จะกล้าเล่าไหมว่าตัวเองไปทำอะไรมา ถึงได้มาติดคุกเหมือนกับเธอ

ในที่สุดสตีเฟนก็ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 50 - 80 ปี มีความผิดในคดีฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง และยังถูกย้ายตัวไปยังคุกอีกแห่งที่ไม่มีเจนนิเฟอร์อยู่


(ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบข่าวเท่านั้น) 


คดีที่ 4 หนุ่มมิชชันนารีเจ้าชู้ ฆ่าเมียสยองโลก
นาธาน ลุทโธลด์
กับภรรยาชื่อ เดนนิส ได้พบกับนักเรียนสาวชาวลิธัวเนียคนหนึ่งในช่วงที่ทั้งสองได้ออกเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาที่ยุโรปตะวันออก จนเมื่อเวลาผ่านไปเด็กสาวก็อายุได้ 18 ปี สองสามีภรรยาบ้านลุทโธลด์ก็ตัดสินใจพาเธอมาเลี้ยงดูอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และสิ่งนี้มันก็ได้ทำให้นาธานเริ่มตกหลุมรักเด็กสาว จน 2 ปีต่อมาเขาจึงได้ตัดสินใจลงมือสังหารภรรยาของตัวเอง เพื่อที่จะได้อยู่กับเด็กสาวตลอดไป

โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2013 นั้น นาธานได้แจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ภรรยาของเขาถูกนักย่องเบาลอบเข้ามาฆ่า ด้วยการใช้ปืนยิงที่ศีรษะของเธอ แต่หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจสอบที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของนาธานแล้วก็พบว่า เขาได้เข้าไปในเว็บไซต์กูเกิลแล้วค้นหาข้อมูลจากคำค้นว่า “วิธีทำปืนเก็บเสียง” ตามด้วย “ตีใครสักคนที่หัวให้สลบ” และ “การฉีดยาให้ตาย” ซึ่งทั้ง 3 คำค้นนี้ก็ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญของการสืบสวนในคดีนี้ทันที


(ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบข่าวเท่านั้น)

สิ่งนี้ก็ได้ทำให้นาธานถูกจับกุมตัว โดยในช่วงการต่อสู้คดีอยู่นั้นทางอัยการได้ยกหลักฐานคำค้นในกูเกิล พร้อมทั้งข้อความในอินบ็อกซ์ของนาธานที่ถูกส่งมาจากภรรยาของเขา ที่เขียนเอาไว้ว่าเธอนั้นรู้ว่านาธานอยากจะฆ่าเธอ และยังถามนาธานว่าทำไมเขาถึงต้องการจะฉีกหน้าเธอด้วยการวิ่งตามเด็กสาวอายุ 20 ปีแบบนี้ โดยทนายของนาธานได้พูดปกป้องลูกความของตัวเองว่า เรื่องนี้มันเอามาใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ และในที่เกิดเหตุเองก็ไม่มีใครเป็นพยานรู้เห็นกับเรื่องราวนี้เลย และมันจะมีประโยชน์อะไรที่นาธานจะฆ่าภรรยาของตัวเองเพื่อที่จะได้อยู่กับเด็กสาววัยรุ่นในวันวาเลนไทน์ ดังนั้นศาลควรจะต้องยกประโยชน์ให้จำเลยมันถึงจะถูกต้อง

หลังจากศาลพิจารณาหลักฐาน วัตถุพยาน รวมถึงข้อแก้ตัวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นาธานจึงได้รับโทษจำคุกไป 45 ปี เพราะสิ่งที่ทนายพูดไว้ในประโยคสุดท้ายว่า เขาจะฆ่าภรรยาของตัวเองเพื่อจะได้อยู่กินกับเด็กสาวในวันวาเลนไทน์ทำไม ว่าสิ่งเหล่านี้มันก็คือคำตอบอยู่ในตัวแล้วนั่นเอง




(ครอบครัวลุทโธลด์)

คดีที่ 5 ลูกสาวอดีตผู้พิพากษาฆ่าสามีตัวเอง
แอนเดรีย คอนซาเลส
อายุ 59 ปี เธอเป็นทั้งคุณครูและลูกสาวของอดีตผู้พิพากษาของเมืองที่เสียชีวิตไปแล้ว เธอถูกจับกุมตัวในข้อหาฆาตกรรมหลังจากที่เธอทุบศีรษะของ จีโอวานนี จูเลียโน สามีอายุ 44 ปี ของเธอจนเสียชีวิต ภายในบ้านที่รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันแห่งความรักของปี ค.ศ. 2014

ในรายงานแจ้งผลการชันสูตรศพออกมาว่า แอนเดรีย คอนซาเลส นั้นทุบตีสามีของเธอที่ใบหน้า ศีรษะและทั่วร่างกายด้วยความรุนแรง โดยในช่วงการพิจารณาคดีนั้นเธอบอกกับคณะลูกขุนว่า ทั้งหมดมันเกิดจากสามีของเธอหกล้มเองเพียงแต่หลักฐานทุกอย่างชี้ชัดว่ามันคือการฆาตกรรม โดยศาลยังได้ตั้งวงเงินประกันตัวของเธอไว้สูงถึงหนึ่งล้านห้าแสนดอลลาร์สหรัฐฯ และปัจจุบันยังอยู่ในระหว่างสู้คดี โดยเป็นไปได้ว่าเธออาจจะถูกพิพากษาลงโทษจำคุกอย่างน้อย 7 ปี




คดีที่ 6 ที่พักใหม่ในวันวาเลนไทน์กลายเป็นที่พักสุดท้ายของชีวิต
หลังจากการย้ายที่อยู่ไปยังอพาร์ตเมนต์ใหม่ในวันวาเลนไทน์ ปี ค.ศ. 2015 ดอว์น ดิกซัน-เบย์ ก็ได้ลงมือใช้มีดแทงสามีของตัวเองไป 2 แผลที่บริเวณหน้าอก ในขณะที่เขากำลังนอนเล่นอยู่ในห้องพักดิกซัน-เบย์ บอกว่าเธอทำไปเพราะป้องกันตัว แต่พยานหลายคนที่รู้เห็นเหตุการณ์กลับพูดในศาลว่า พวกเขาได้ยินเสียงเธอแทงสามีหลังจากการทะเลาะกันจบลงไปแล้วต่างหาก

สุดท้ายศาลจึงพิพากษาให้เธอได้รับโทษจำคุก 35 ถึง 70 ปีในคุก และศาลยังบอกเหตุผลกับเธอว่า เธอฆ่าสามีอย่างเลือดเย็น สิ่งนี้มันไม่ใช่อุบัติเหตุเพราะเธอแทงที่หัวใจของสามีถึง 2 ครั้งด้วยกัน ส่วนน้องสาวของสามีดิกซัน-เบย์นั้นบอกว่า จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นเสมือนกาวใจของครอบครัว และบอกว่าดอว์น ดิกซัน-เบย์ควรจะรู้สึกกลัวช่วงเวลาที่เธอใช้มีดแทงพี่ชายของเธอบ้าง แต่นี้เธอกลับไม่เคยแสดงอาการแบบนั้นออกมาให้เห็นเลย




ดอว์น ดิกซัน-เบย์ (Dawn Dixon-Bey)

คดีที่ 7 เด็กชายพยานสำคัญบอกว่า "ซอสมะเขือเทศเต็มไปหมดเลย"
โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เมืองซานเบอนาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา อิกนาเซีย แมนริเกซ เป็นคู่รักกับจวน แมนูเอล นาวาโร ทั้งคู่มีพยานรักเป็นลูกๆ ถึง 3 คน เพียงแต่จวนผู้เป็นสามีตัดสินใจจะจบชีวิตคู่ลงอย่างกะทันหันในปี ค.ศ. 1993 โดยในช่วงแรกเหตุการณ์ทุกอย่างก็ดูปกติดี ตัวของอิกนาเซียเองก็ยังคงพยายามทำตัวปกติเพื่อลูกๆ ของเธอ แล้ววันหนึ่งจวนก็เปลี่ยนใจอยากจะกลับมาคืนดี เพียงแต่อิกนาเซียยังเข็ดขยาดการใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายคนนี้ ฝ่ายชายง้อเท่าไรเธอก็ไม่ยอมใจอ่อน จวนเจอแบบนี้เข้าไปก็ระแวงว่าอิกนาเซียกำลังจะมีผู้ชายคนใหม่ จวนจึงคิดว่า ในเมื่อฉันไม่ได้ ใครๆ ก็ต้องไม่มีสิทธิ์ นั่นจึงทำให้จวนตัดสินใจจะสังหารเธอ

โดยอัยการของศาลแขวงซานเบอนาดิโนชื่อมากาเรต บีแวนได้กล่าวว่า จวนได้แอบตามอิกนาเซียไปที่บ้านของเธอ ลูกคนหนึ่งของพวกเขาก็เปิดประตูให้จวนเพราะเห็นว่าเขาเป็นพ่อ แต่พอจวนเข้ามาในบ้าน ทั้งคู่ก็เริ่มทะเลาะกันอย่างรุนแรง อิกนาเซียหยิบเอาคำสั่งศาลออกมา แต่จวนพูดว่ากระดาษแผ่นไหนมันก็ช่วยเธอไม่ได้หรอก จากนั้นจวนก็แอบตามอิกนาเซียที่ออกไปกับลูกชายอีกคน ไปจนถึงศูนย์การค้าที่อยู่ในย่านนั้นและทั้งสองก็จบความบาดหมางกันในบริเวณที่จอดรถ


(ภาพนี้เป็นเพียงภาพประกอบข่าวเท่านั้น)  

พยานที่เห็นเหตุการณ์ครั้งนี้ออกมาให้การในศาลว่า เขาเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันบริเวณใกล้ๆ รถของอิกนาเซีย เขาเห็นเธอกำลังร้องไห้ หลังจากนั้นเขาก็เห็นแมนูเอล นาวาโรหยิบปืนเล็งไปที่ศีรษะของอิกนาเซีย และเปลี่ยนเป้าหมายมายิงที่บริเวณหน้าท้องของเธอจนเธอล้มลง จากนั้นเขาจึงยิงเข้าไปที่ศีรษะของเธอและยิงที่หน้าท้องไปอีก 2 นัด ตามด้วยที่ศีรษะของเธออีก 2 นัด

ที่น่าสลดหดหู่ก็คือ จวนยิงสังหารภรรยาตัวเองต่อหน้าจัวนิโต ลูกชายอายุ 4 ขวบของพวกเขา จากนั้นจวนก็อุ้มลูกชายวิ่งหนีหายไป โดย 17 วันต่อมามีผู้แจ้งว่าพบชายลึกลับนำจัวนิโตมาทิ้งไว้ที่หน้าบ้านของอิกนาเซีย พอเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางมาสอบถามเด็กชาย เขาก็เล่าในสิ่งที่เขาเห็นในช่วงเวลาที่เกิดเหตุว่า “ซอสมะเขือเทศเลอะเต็มไปทั่วเลย” ส่วนป้าของเด็กชายได้ออกมาพูดในวันที่ตัวของเด็กอายุ 22 ปี เกี่ยวกับคดีนี้ว่า ตอนนี้จัวนิโตยังไม่สามารถรับกับสิ่งที่เขาเห็นในวันนั้นได้ จัวนิโตยังคงมีอาการทางจิตเรื่อยมา เขาเรียนไม่จบทั้งๆ ที่ตาและยายพยายามสนับสนุนให้เรียนต่อ และยังคงเห็นภาพแม่ของตัวเองเสียชีวิตอยู่ในหัวตลอดมา

ส่วนจวน แมนูเอล นาวาโรได้หนีออกไปทางประเทศเม็กซิโก และหลบซ่อนตัวอยู่ถึง 19 ปี แต่ในปี ค.ศ. 2012 จวนก็ถูกจับตัวได้ และถูกนำตัวมาขึ้นศาลในคดีฆาตกรรมภรรยาของตัวเอง ได้รับโทษจำคุกไป 30 ปี 



คดีที่ 8 วาเลนไทน์สีเลือด 
ชอว์น วอร์ริค
อายุ 32 ปี เขาเพิ่งจะออกเดตกับทิฟฟานี บาร์นฮิลได้ไม่นาน เขาก็ยิงเธอในระยะเผาขนพร้อมกับญาติของเธอต่อหน้าต่อตาเพื่อนหญิงของเธออีก 2 คน ชอว์นเปิดฉากสังหารด้วยการเตะประตูบ้านของทิฟฟานีให้เปิดออก จากนั้นก็ใช้ปืนยิงใส่เธอทันที พยานที่เห็นเหตุการณ์บอกกับศาลว่า ตอนนั้นวอร์ริคพูดกับทิฟฟานี่ว่า “ไปตายซะ!!!”

ศพของทิฟฟานีถูกพบในอพาร์ตเมนต์ของครอบครัวบาร์นฮิล โดยมีศพของ เมอซิเดซ ไอเวอรี ญาติของเธอนอนอยู่ข้างๆ และเวลาต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพบปืนของวอร์ริคตกอยู่ในที่เกิดเหตุ และแน่นอนว่าวันนั้นตรงกับวันวาเลนไทน์ของปี ค.ศ. 2011



ในช่วงการพิจารณาคดีของศาลนั้น วอร์ริคพยายามให้การปฏิเสธในคดีตลอด และพยายามชี้นำคณะลูกขุนว่าตัวของเขานั้นมีอาการของผู้ป่วยจิตเภท ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันก็เกือบจะทำให้เขาต้องได้รับโทษประหารชีวิตกันเลยทีเดียว จนสุดท้ายวอร์ริคก็ตัดสินใจเปลี่ยนทนายคนใหม่มาช่วยสู้คดีแทน และสิ่งนี้ก็ได้ทำให้ศาลพิจารณาโทษแก่ชอว์น วอร์ริคให้ติดคุกตลอดชีวิตไปสองชั่วอายุคน



ชอว์น วอร์ริค (Shaun Warrick)

คดีที่ 9 แผนวาเลนไทน์เลือด แต่ยังไม่ทันได้ละเลง
ลินเซย์ เค. ซูวานนารัธ
และ แรนดอลล์ สตีเวน เชฟเฟิร์ด คู่รักคู่นี้ได้วางแผนที่จะทำลายบรรยากาศวันวาเลนไทน์ของเมืองฮาลิแฟกซ์ ประเทศแคนาดา เมื่อปี ค.ศ. 2015 ด้วยการวางแผนที่จะก่อเหตุสังหารหมู่อย่างสนุกสนานในศูนย์การค้าฮาลิแฟกซ์ชอปปิงเซ็นเตอร์ แต่โชคดีที่ยังไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือล้มตาย เพราะลินเซย์ ได้โพสต์ประกาศเรื่องนี้ให้เพื่อนๆ ของเธอได้รับรู้ก่อนจะก่อเหตุ



โดยก่อนที่เธอจะถูกจับตัวนั้น ไม่เพียงแต่เธอจะโพสต์ภาพทหารนาซีและภาพเหตุการณ์สังหารหมู่ในโรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้าลงในเว็บไซต์ทัมบเลอร์ เธอก็ยังได้ทวีตข้อความที่ทวิตเตอร์ไว้ประมาณว่า “วันวาเลนไทน์ กำลังจะร่วงโรย” นั่นจึงทำให้ทั้งลินเซย์และคู่หูถูกตำรวจบุกเข้าควบคุมตัวด้วยข้อหาเตรียมตัวก่อการฆาตกรรมและลอบวางเพลิง โดยในแผนการนั้นยังพบว่าพวกเธอตั้งใจจะใช้อาวุธอันตรายและผิดกฎหมายหลายชนิด ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนถูกฝ่ายหญิงโพสต์อวดเพื่อนๆ เอาไว้ในเว็บโซเชียลมีเดียนั่นเอง



คดีที่ 10 หมออำมหิต เวอร์ชั่นวันวาเลนไทน์
จอห์น แฮมิลตัน
หมอใหญ่แห่งเมืองโอคลาโฮมา ออกมาอวดภาพซูซานภรรยาของเขาที่ถ่ายพร้อมกับรถพอร์ชที่เขาซื้อให้เธอ เพื่อเป็นของขวัญครบรอบวันแต่งงาน ซึ่งเรื่องนี้มันก็ถือเป็นการแสดงออกที่ดีของคู่รักที่มีชีวิตแต่งงานอันราบรื่นจนน่าอิจฉา และในสายตาของคนสนิทก็ล้วนมองว่าคู่รักคู่นี้สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ที่ทุกคนบนโลกใบนี้ควรจะดูเป็นตัวอย่างเอาไว้

เพียงแต่ในวันวาเลนไทน์ของปี ค.ศ. 2001 จอห์นเดินทางกลับมาบ้านในช่วงพัก แล้วมาพบกับภรรยานอนหมดสติอยู่บนพื้นห้องน้ำ ที่คอมีเนคไทของจอห์นรัดคออยู่ 2 เส้น ส่วนบริเวณศีรษะมีร่องรอยการถูกกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรงจนแตกเห็นมันสมองบางส่วนไหลออกมา จอห์นเห็นดังนั้นจึงรีบหาทางช่วยเหลือภรรยาทันที



เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและรถพยาบาลมาถึงมันก็สายเกินไปเสียแล้ว เพียงแต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึงอย่างน้อยพวกเขาก็จำเป็นจะต้องตรวจสอบทุกอย่างเช่นกัน โดยต่อมาตำรวจก็ได้สอบสวนไปยังเพื่อนของซูซานก็พบว่า ก่อนหน้าที่เธอจะเสียชีวิตนั้นซูซานเคยเล่ากับเพื่อนคนนี้ว่า สามีของเธอมีกิ๊กเป็นนักเต้นระบำเปลื้องผ้า และสาเหตุที่ซูซานรู้มันก็เพราะเธอไปพบหลักฐานการโทรศัพท์ไปหาแดนเซอร์คนดังกล่าวอยู่หลายครั้งในโทรศัพท์ของสามี และซูซานยังเคยเล่าว่าเธอคิดจะขอหย่ากับสามีอีกด้วย



นั่นจึงทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวกับสภาพศพของซูซานที่ถูกเนคไทของสามีรัดคอถึง 2 เส้น ก่อนจะถูกคนร้ายกดศีรษะกระแทกกับพื้นห้องน้ำจนเสียชีวิตว่า คนร้ายมันจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากตัวของจอห์น แฮมิลตันสามีของเธอเท่านั้น

จอห์นจึงถูกควบคุมตัวในข้อหาฆาตกรรมภรรยาของตัวเองทันที โดยในระหว่างสู้คดีทีมทนายของจอห์นได้ว่าจ้างนักสืบชื่อทอม เบเวลมาเป็นพยานคนสำคัญ ซึ่งเบเวลคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการตรวจสอบวิถีของรอยเลือดในที่เกิดเหตุ เขาบอกกับคณะลูกขุนว่าถ้าจอห์นจะฆ่าคนรักจริงๆ ล่ะก็ บนเสื้อเชิ้ตของจอห์นจะต้องมีรอยเลือดอยู่แน่ๆ และทอม เบเวลจึงได้ร้องขอให้มีการตรวจสอบนี้เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของจอห์นอีกด้วย



พอตรวจสอบด้วยเครื่องมือทันสมัยเข้า ก็ปรากฏว่าที่เสื้อเชิ้ตของจอห์นมีร่องรอยของเลือดเลอะอยู่จริง นั่นจึงทำให้ความหวังดีของทอมที่คิดว่าสิ่งนี้น่าจะทำให้จอห์นรอดจากคดี ก็กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งชี้ว่าเขาคือคนร้ายตัวจริงไปแบบไม่คาดคิด สุดท้ายจอห์น แฮมิลตันจึงได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตเพราะผู้เชี่ยวชาญที่ทนายของตัวเองจ้างมา



ขอขอบคุณ 
แปลและเรียบเรียงโดย นิวัฒน์ อ่ำแสง
ที่มา : http://www.mitithee6.com/…/…/14-valentine-s-day-murders.html