"เศรษฐา"ลั่นนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 1 หมื่นโดนใจ ทำให้พรรคอื่นพูดถึง ยันไม่ได้รีดภาษี ไม่สร้างหนี้ให้ประเทศ
เมื่อเวลา 15.50 น. วันที่ 9 เม.ย. 66 ที่หน้าวัดบ้านหลุก อ.แม่ทะ จ.ลำปาง คณะของพรรคเพื่อไทย (พท.) นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานคณะที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ในฐานะแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet) 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย ยังถูกโจมตีจากพรรคประชาธิปัตย์และพรรคก้าวไกล ซึ่งจะถูกมองว่ารีดภาษีจากประชาชนและงบประมาณจนสร้างหนี้สินของประเทศ ว่า เป็นเรื่องน่ายินดี เพราะจะได้เป็นการช่วยขยายความออกไปเรื่อยๆ เพราะนโยบายนี้โดน ทำให้พรรคการเมืองอื่นพูดถึง ตนคิดว่านโยบายนี้พรรคเพื่อไทยต่อสู้ความยากจนของประชาชน ถ้าจะมาใช้การหยอดน้ำข้าวต้ม ทีละ 500-1,000 บาท ตนคิดว่าไม่โดน ส่วนเรื่องที่ใช้เงิน 10,000 บาท ยืนยันไม่ได้มีการรีดภาษี เรามีการบริหารจัดการชัดเจน โดยเมื่อวานนึ้ (8 เม.ย.66) ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้เรียกข้อมูลเพิ่มเติมจากพรรคเพื่อไทย คณะกรรมการบริหาร ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายกฎหมายได้รวบรวมข้อมูลแล้ว ตนเข้าใจว่าได้นำส่งต่อ กกต.แล้ว ถ้า กกต.มีข้อสงสัยก็พร้อมชี้แจง
“ผมคิดว่าดีครับ จะได้เปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจนมีระบบ จะได้ไม่มีข้อกังขาอะไร เป็นนโยบายที่โดนจริงๆ พรรคเพื่อไทยเราคิดใหญ่ เราทำเป็น” นายเศรษฐาระบุ
นายเศรษฐา ยืนยันการใช้งบประมาณกว่า 5 แสนล้านบาทไม่ได้เป็นการสร้างหนี้ให้กับประเทศ ตรงนี้เราจะดูสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเป็นหลัก อย่าลืมว่าหนี้โตขึ้นบางส่วน จะทำให้จีดีพีของประเทศโตขึ้นด้วย อย่างงบประมาณที่เราวางแผนไว้ไม่ได้เป็นการเพิ่มหนี้สินให้กับประเทศ ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวจะเป็นจะทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบ 5 แสนกว่าล้านบาทด้วย ยืนยันไม่ได้ขึ้นภาษีแต่อย่างใด
เมื่อถามถึงกรณีนายเศรษฐาได้ปราศรัยถึงข้อมูลการทุจริตของรัฐบาล ทางพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ตอบโต้คนที่ทุจริตไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แต่เป็น ดร.ทักษิณ ชินวัตร น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดย นายเศรษฐา ระบุว่า ตนพูดถึงข้อมูลทุจริตที่จัดทำโดยต่างประเทศ ตนไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้มาก แต่ยืนยันมีข้อมูลเรื่องนี้และตัวเลขเรื่องดัชนีคอร์รัปชันที่สูงขึ้นทุกคนก็ทราบดี โขอให้ดูที่ตัวเลขการสำรวจ ตนนำเสนอในข้อเท็จจริง แต่ไม่ได้เป็นผู้สำรวจ หากพรรครวมไทยสร้างชาติจะไปเถียง ก็ขอให้ไปเถียงกับองค์กรนั้นดีกว่า
“อย่าเอามาวัด เขาว่าฉันเธอว่าฉันดีกว่า โดยใช้คำว่ายอมรับและนำไปปรับปรุงกัน เพราะเรามีหน้าที่ปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ไม่ดี อันนี้ขอฝากไว้ละกัน” นายเศรษฐา ระบุ
นายเศรษฐา ยังระบุกรณีนิด้าโพล สะท้อนเสียงของคนอุบลราชธานี โดยผลสำรวจพบว่าร้อยละ 45.55 อันดับ 1 เลือก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่สนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายเศรษฐาเป็นอันดับที่ 4 ร้อย 7.45 ว่า ถือเป็นกำลังใจ โดยไม่ได้ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงของการหาเสียงพรรคเพื่อไทยในช่วง 30 วันโค้งสุดท้าย ส่วนความมุ่งมั่นที่จะเดินสายพูดคุยกับประชาชน อย่างเช่นวันนี้ได้รับฟังปัญหาของประชาชน ก็จะนำกลับไปหารือกับผู้บริหารของพรรคเพื่อหาแนวทางแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอกสารสิทธิที่ดินในจังหวัดลำปาง หรือการเปิดตลาดการค้าในต่างประเทศ
เมื่อถามว่าโพลคะแนนนิยมสูงขณะนี้เป็นสัญญาณดีว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ 376 เสียงของพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า เราพยายามที่จะทำให้ได้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขณะเดียวกันก็ต้องเคารพเสียงของประชาชน และจะทำงานหนักเหมือนเดิม และย้ำว่าทั้งนี้ทั้งนั้นในวันเลือกตั้ง 14 พ.ค.จะเป็นวันชี้ขาด แต่วันนี้ยังคงต้องเดินหน้าทำงานต่อไป