“ศรีสุวรรณ”ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหาย “เปรมขัย”กับพวก ที่ต้องสูญเสียเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทา และเก้ง พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบคลิปเสียงเจรจาต่อรองจับกุม
เมื่อวันที่ 9 ก.พ. นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ออกแถลงการณ์ เรื่อง ขอเรียกร้องให้ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจากนายเปรมขัย กรรณสูต กับพวกและตั้งคณะกรรมการสอบคลิปเสียงเจรจาต่อรองกรณีจับกุม โดยระบุว่า จากกรณีเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริหาร บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และพวกอีก 3 คน ตั้งแคมป์กลางป่าทุ่งใหญ่นเรศวร แล้วพบซากเสือดำ เก้ง ไก่ฟ้า ปืนไรเฟิลติดกล้อง ปืนลูกซองพร้อมกระสุนจำนวนมาก ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่ได้นำส่งตำรวจ สภ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี ดำเนินคดี 9 ข้อหา ก่อนศาลให้ประกันตัวไปแล้วนั้น เรื่องดังกล่าวกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.)ไม่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะต้องสอบสวนและให้อัยการฟ้องในทางคดีอาญาแต่เพียงฝ่ายเดียว หากแต่กระทรวงจะต้องดำเนินการยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกรณีที่กรมอุทยานฯต้องสูญเสียเสือดำ ไก่ฟ้าหลังเทาและเก้ง ซึ่งมีมูลค่าหลายล้านบาทด้วย ตาม มาตรา 97 พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า ต้องเร่งทำความจริงให้ปรากฏต่อกรณีข้อสงสัยของสาธารณชนหลายประการ ซึ่งเกี่ยวพันต่อวินัยของข้าราชการ และการทุจริตต่อหน้าที่ อาทิ 1.กรณีที่มีคลิปเสียงเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนว่าระหว่างการจับกุมนายเปรมชัยกับพวกที่ถูกจับในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร มีบทสนทนาปริศนาระหว่างคน 2 คนโดย เมื่อวันที่ 3 ก่อนเดินทางเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เจ้าหน้าที่อ้างถึงเสียงวิทยุที่ใช้พูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่ระบุมีข้อความ “ให้อำนวยความสะดวก คณะท่องเที่ยว เพราะเป็นแขกของนาย” ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่สั่งการเช่นนั้นเป็นผู้บริหารของกรมหรือกระทรวงคนใด และมีเสียงการเจรจาต่อรองเมื่อถูกจับกุม ในลักษณะพยายามติดสินบนเจ้าพนักงาน ซึ่งมีบางถ้อยคำที่บ่งชี้ว่าได้เคยมีการให้ทรัพย์สินกันมาก่อนแล้ว เช่น “เคยส่งรองเท้าแตะ บรรทุกไปเลยนะ 100 กว่าคู่ คอมแบต ชุด ว. 30 เครื่องไปให้เลย” ซึ่งถือได้ว่าเป็นพยานหลักฐานที่ชี้ว่าความผิดสำเร็จแล้ว ทส.จะต้องสอบสวนให้ชัดเจนว่าร้องเท้าแตะ รองเท้าคอมแบต และชุดวิทยุหรือ ว.30 เครืองนั้น มีจริงหรือไม่ และถูกขึ้นบัญชีเป็นทรัพย์สินของราชการหรือไม่ หรือรับทรัพย์สินมาจากเอกชน แต่มาตั้งเบิกจากงบประมาณแผ่นดินในลักษณะซ้ำซ้อนหรือไม่ด้วย
2.กรณีที่พนักงานเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้เซ็นอนุญาตให้เข้าพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ตามคำสั่งกรมอุทยานฯที่ 1257/2549 แต่กลับปล่อยให้มีการฝ่าฝืนระเบียบดังกล่าวและไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 (พ.ศ.2538) ออกตามความ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า 2535 นั้น ผู้มีอำนาจในกรมอุทยานฯคนใด ที่ใช้อำนาจให้มีการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว เป็นหน้าที่ของ ทส. ที่จะต้องสอบสวนเรื่องดังกล่าวเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ 3.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเป็นพื้นที่อนุรักษ์ ไม่ใช่พื้นที่เพื่อการท่องเที่ยวเหมือนเขตอุทยานแห่งชาติทั่วไป ดังนั้น การอนุญาตให้บุคคลทั่วไปที่ไม่ใช่นักวิจัย นักวิชาการเข้าไปเพื่อท่องเที่ยวโดยไม่มีการสกรีนตรวจสอบการลักลอบขนอาวุธร้ายแรงหรือวัตถุอื่นใดที่อาจก่อให้เกิดเหตุอันตรายต่อสัตว์ป่าเข้าไปในพื้นที่ ทั้ง ๆ ที่โดยระเบียบต้องตรวจค้นนั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการบกพร่องต่อหน้าที่โดยชัดแจ้ง หรือไม่ และระเบียบการอนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าไปท่องเที่ยวในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดังกล่าวควรที่จะต้องยกเลิกแล้วหรือไม่ เพื่อไม่ให้เป็นช่องว่างให้ผู้มีอำนาจและผู้มีอิทธิพลใช้ช่องว่างดังกล่าวเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์บนทรัพยากรของชาติในพื้นที่ดังกล่าวได้อีกในอนาคต
เหตุดังกล่าวสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน จึงขอเรียกร้องให้ รมว.ทส. ลงจากหอคอยมาดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งดังกล่าวจากนายเปรมชัยกับพวกด้วย และตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบและสอบสวนกรณีที่เกิดขึ้นในทุกแง่มุมในทุกองคาพยพของปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่การลงโทษพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อไม่ให้เกิดกรณีเช่นเดียวกันนี้ซ้ำรอยอีกในอนาคต ส่วนพนักงานเจ้าหน้าที่คนใดที่ตั้งใจทำงานอย่างเข้มแข็งไม่เกรงกลัวอิทธิพล ควรจะปกป้องคุ้มครองดูแล และปูนบำเหน็จรางวัลให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ แต่หากไม่สามารถดำเนินการได้ หรือมัวเกรงอกเกรงใจใครอยู่ ก็ขอให้ รมว.ทส.พิจารณาตนเองด้วยว่าเหมาะสมที่จะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปหรือไม่ด้วย และทางสมาคมฯอาจฟ้องร้องกระทรวงฐานละเลยการปฎิบัติหน้าที่ต่อเรื่องดังกล่าวด้วย