ยื่นข้อเสนอเป็นหลักล้าน "ดี้ ชนานา" ก็ไม่ขอทำสิ่งนี้

2023-02-06 13:30:33

ยื่นข้อเสนอเป็นหลักล้าน "ดี้ ชนานา" ก็ไม่ขอทำสิ่งนี้

Advertisement

เมื่อ ดี้ ชนานา นางแบบ – นักแสดงมืออาชีพได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษ ในรายการ Club Friday Show ได้เล่าเรื่องราวทุกช่วงเวลาของชีวิตช่วงสมัยเข้าวงการใหม่ๆถูกยื่นข้อเสนอเป็นเงินหลักล้านให้ถ่ายนู้ดแต่ก็เซย์โนเพราะมองไกลถึงอนาคตห่วงความรู้สึกของลูกและคนในครอบครัว พร้อมเผยเปิดเรียนของความรัก

พี่ดี้ดูแลตัวเองดีขนาดนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วคนที่หุ่นดีๆ จะเห็นว่าต้องมีการถ่ายภาพโชว์นั่นนี่ ต่างๆนานาซักนิดหนึ่งแต่พี่ดี้ไม่เลย ?

 ไม่ค่ะมีนะคะ แต่ว่าเป็นคนที่คาแรกเตอร์เปรี้ยวอยู่แล้ว การแต่งเซ็กซี่เป็นเรื่องปกตินะคะ แต่ว่าถ้าเกิดเป็นการถ่ายนู้ดเป็นอัลบั้มเลย ไม่มีค่ะใจไม่ถึง



แต่จริงๆเคยมีคนติดต่อ ?

มีติดต่อค่ะ แหม๊ !! สมัยเด็กๆฉันไม่ธรรมดานะ ฉันก็แซ่บล้ำมาอยู่นะ (หัวเราะ) เป็นผู้หญิงที่ทันสมัยมาก หัวสมัยใหม่มาก เป็นคนแต่งตัวอยู่แล้ว สมัยก่อนถ้าคนเกิดทัน ก็จะรู้จักปฏิทินแม่โขง ปฏิทินแสงโสม เขาก็จะติดต่อทุกปีเลยค่ะ แบบว่าแข่งกันซะจนราคาเราขึ้นมาเป็น 1,000,000 นะ สมัยก่อนไม่มีดูฟรีนะคะ เพราะไม่มีใครเขาถอดใช่ไหมคะ แต่ทีนี้เราก็ตายแล้วได้เป็น 1,000,000 เลยเหรอ มีใจเสียเหมือนกันนะ เพราะสมัยยุคนั้น BMW คันละ 250,000 บาท แต่ได้ 1,000,000 บาท มันใจเสียนะมีวันหวั่นไหวนะคะ ก็มานั่งคิดดูว่ายังเป็นหญิงโบราณอยู่บ้านสวน ก็เลยคิดว่าถ้าเกิดในอนาคตถ้าเรามีลูกมีเต้า มีครอบครัว มีสามี เขาอาจจะรับเราไม่ได้ ลูกอาจจะเอาปี๊บคุมหัวไงคะ ก็เลยไม่มีวันนั้นค่ะ



แล้วพี่ดี้ เข้าสู่วงการของการเป็นนางแบบได้อย่างไร ?



มันตลกมากเลยค่ะ เพราะจริงๆเด็กๆเรียบร้อยมาก เพราะเป็นเด็กๆที่อยู่กับคุณยาย แล้วที่บ้านก็เป็นพวกอาจารย์กันหมด ก็จะรับอะไรพวกนี้ไม่ได้แต่บังเอิญว่า ดี้มีเพื่อนแถวๆโรงเรียน เขามีร้านเสื้อผ้าสมัยก่อนต้องเป็นห้องเสื้อเป็นร้านๆ ไม่มีห้างเยอะขนาดนี้เขาขาดนางแบบ พอนางแบบขาดแล้ว ช่วงนั้น ดี้สูงในยุคนั้น เขาก็เลยเรียกไปแทน หลังจากนั้นก็เลยมีแมวมองมาติดต่อมาเรื่อยๆ ก็เลยกลายเป็นนางแบบอะไรไปเรื่อยๆ จนเข้ามาเล่นละคร เล่นภาพยนตร์ค่ะ

และก็มีช่วงเวลาที่ชีวิตเริ่มเจอความลำบาก ณ วันนั้นที่เงินค่อยๆหมดไป เรากลัวไหม ?

เงินหมดแบงก์ค่ะ กลัวค่ะ แล้วเราก็เริ่มเห็นว่ามันไม่เสถียรแล้ว มันไม่มีอะไรมั่นคง แต่ว่าเราก็ได้ลูกมาเราจะทำอย่างไรให้ชีวิตเรารอด ดี้นั่งอ่านหนังสื่อพิมพ์ หน้าที่มันมีหางาน ดี้ก็นั่งติ๊กแล้วก็ไล่สมัครงาน แล้วมีบริษัทเครื่องสำอางอันหนึ่ง ซึ่งเจ้าของเขาเป็นไฮโซและดี้เคยรู้จักตอนเป็นนางแบบ ดี้ ก็โอเคแล้วก็เขียนสมัครไปแล้วผลปรากฏว่าพอคลอดลูกได้ประมาณ 7 วัน เขาก็เรียกไปสัมภาษณ์แถวลาดพร้าวเนี่ย ตอนนั้นดี้คืออ้วนมากเลย พอเข้าห้องสัมภาษณ์ ดี้ ก็เจอกับพี่ไฮโซคนนั้น ตอนนั้นดี้ยังคิดว่าดี้จะได้ไปทำ BA เครื่องสำอาง ผลปรากฏว่าเขาเจอหน้าดี้แล้ว เขามีน้องกลับมาจากต่างประเทศเป็นผู้ชาย อย่างหล่อมาเลยไฮโซเหมือนกันนั่นแหละ ผู้ชายเขาเห็นหน้าดี้ เขามาสัมภาษณ์ด้วยไง พอเขาเห็นหน้าดี้ เขาก็บอกกับพี่สาวเขาบอกว่าคนนี้หน้าคุ้นเนอะ แต่ทำไมอ้วน รู้มั้ยคะว่าเขาพูดอย่างไร เขาบอกว่าอ๋อ !! คนนี้เขาเคยเป็นดาราดัง แต่ตอนนี้เขาตกแล้ว ผู้หญิงไฮโซคนที่เราสมัครงานเนี่ย !! พูดอย่างนี้ต่อหน้าเราเลยค่ะ ดิฉันฟังแล้วก็อืม … แล้วเขาเป็นผู้หญิงปากหวานไง เขาก็บอกว่าเดี๋ยวไว้จะติดต่อไปนะ เราก็รู้แล้ว พอฟังคำนี้เราก็รู้แล้ว คงไม่รอดคงไม่ได้หรอก จากสายตาเขาก็อาจจะกั๊ก ไม่อยากให้น้องเขาเจอหรืออะไรด้วย ดี้ก็เฉยๆโอเคหลังจากวันนั้นกลับไปปุ๊บ ดี้ก็นั่งคิดแล้วว่าฉันอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ฉันต้องออกและยังไม่กล้าบอกใครว่าเลิกยุคก่อนถ้าเกิดว่าเลิก ตอนนั้นเราตัดสินใจว่าจะเลิก มันคิดหางาน จะกลับบ้านแล้วก็ก๋ากั่นมากสำหรับคนที่คิดจะหย่ายุคนั้น แล้วหย่าแล้วลูก 2 คนด้วย ทำอย่างไรดี ดิฉันก็ลุกขึ้นมาออกกำลังกายสุดฤทธิ์ เพราะว่าตอนนั้นมันอ้วนมาก แล้วก็คิดว่ากลับมาก็คงไม่ได้ แล้วก็ต้องออกกำลังกายสุดฤทธิ์ จนกระทั่งตัวเล็กลงมาแล้วก็ยอมลงปกมาลัยไทยรัฐ ซึ่งสมัยก่อนมาลัยไทยรัฐเขาต้องเซ็กซี่ใช่ไหม ซึ่งดี้ก็ใส่ชุดออกกำลังกายแอโรบิกซึ่งมันก็เว้าขึ้น แล้วก็อุ้มลูก 2 คน ขึ้นปกมาลัยไทยรัฐ ยุคนั้นคือฮือฮากันแบบว่าเพราะไม่มีใครเขาทำ ดิฉันก็แหกข้อ คนก็ด่ากัน ถ้าสมัยนี้คอมเม้นต์คงกระจายอะนะ ดูสิ มีลูกแล้วยังมานู่นนี่ ตอนนั้นที่ถ่ายออกมาแล้วทุกคนตื่นเต้นเพราะว่าเราหายไปสองปี เพราะหลังจากที่แต่งงานเราก็หายไปจากวงการเลยเพราะอยากเป็นแม่บ้าน อยากไปเป็นแม่พันธุ์เลี้ยงลูก

พี่ดี้ ณ ตอนที่ถ่ายมาลัยไทยรัฐ เลิกหรือยัง ?

เลิกค่ะ เราเลิกแต่เขาไม่รู้ว่าเพราะยังไม่ได้ขอหย่า เพราะเขาก็ไม่ได้อยู่บ้านเลยก็คือครั้งสุดท้ายที่คลอดลูกคนเล็ก ก็ยังอยู่บ้านเขา แล้วเขาก็ไปส่งที่คลอดลูก เขาไม่ได้ส่งด้วย เขาไปเยี่ยมมั้ง ดี้ ก็บอกว่าขอตังค์ ต้องนอนโรงพยาบาลใช่ไหม เราก็บอกว่าขอตังค์ค่าคลอดหน่อย เขาก็บอกว่ายังไม่มีนู่นนี่นั่น คือเงินเราจะไม่เหลือแล้ว เอาอย่างนี้ถ้าไม่มาช่วยจ่ายให้นะฉันก็จะนอนตายคาโรงบาลนี่แหละ





สุดท้ายได้หย่ากับเขาไหม ?

เรื่องหย่ายิ่งตลกใหญ่เลยค่ะ ตอนหลังดี้เลิก ดี้ไม่เอาแน่ๆ เราก็บอกเขาว่าเรามาเลิกกันเถอะ เรามาหย่ากันเถอะ ดี้ก็ไม่รู้เรื่องไง ก็พาไปอำเภอรอบที่หนึ่งเขาก็หนีออกจากอำเภอ นายอำเภอก็เกลี้ยกล่อมอยู่นั่นแหละ ครั้งที่สองไปใหม่นายอำเภอก็เกลี้ยกล่อมอยู่นั่นแหละ และสรุปว่าดี้พึ่งมารู้ว่า ดี้ไม่ได้จดทะเบียน จะไปหย่าเนี่ยยังไม่ได้จดทะเบียน แล้วคุณจะหย่าได้อย่างไรคุณไม่ได้จดทะเบียน คือจริงๆเลิกไปชิวๆก็ได้แยกไปเลยก็จบ ใช่ค่ะ แต่ที่นี้ที่ดี้ต้องหย่าเพราะว่าหนี้สินที่เขาเอาของเราไปเนี่ย เราต้องการเงินจุดนั้นมาเลี้ยงลูกเลี้ยง เราถึงต้องเซ็นเป็นลายลักษณ์อักษร ให้เห็นว่าคุณจะต้องจ่าย เป็นจำนวนเงิน เพื่อฉันจะได้เอามาให้ลูก ถึงต้องมีลายลักษณ์อักษร มันก็เลยจำเป็นที่ว่าต้องจดวันนั้นและหย่าวันนั้น เพื่อมีลายลักษณ์อักษร

แล้วในตอนนั้นความเป็นคุณพ่อ เขาได้เป็นคนที่ดูแลลูกไหม ?

ถ้าเขาดูเราคงไม่เลิก เขาก็ไม่ใช่คนอย่างนั้น เราไม่เสียใจเลยค่ะจริงๆ หลุดมาได้ดีใจกว่า



เอาจริงๆมีความรู้สึกของความอกหักไหม ?

ไม่มีเลยค่ะ พูดง่ายๆสำหรับตัวเองเนี่ยนะคะ มันเหมือนเข้าโรงเรียนไปเรียนวิชาความรัก ความรักเหมือนวิชาหนึ่ง เราเข้าไปเรียนวิชาความรัก แต่ว่าเราไปเรียนกับครู ที่เขาไม่ได้จบมาด้านวิชาความรักเท่านั้นเอง มันก็เละตุ้มเป๊ะ เราก็ไม่รู้เรื่องกันเพราะครูสอนไม่ดี

แล้วรู้สึกว่าเฟลไหมในมุมความรักเพราะยังไม่ได้ทันได้รักเท่าไหร่ แต่ในมุมของความตั้งใจในการที่เราอยากมีครอบครัว ?

เฟลค่ะ ก็เจ็บเหมือนกัน ดี้ ขับรถผ่านตรงบางนาเส้นที่เขาขับรถแล้วเขาพูดว่า ประโยคนี้นะวลีเด็ด ที่ว่าเราจะทำครอบครัวให้สมบูรณ์เนี่ย ดี้ ขับผ่านตอนพระอาทิตย์ตก แต่ก่อนอยู่กับพระอาทิตย์ตกไม่ได้เลยน้ำตามันจะตกตามพระอาทิตย์

วันนี้เล่าดูไม่สนใจ แต่ณวันนั้นร้องไห้ไหม ?

ก็เจ็บค่ะ แต่ว่าเราต้องสตรอง แล้วต้องเอาชีวิตลูกให้รอด เราจะต้องหาเงินให้ได้ เราจะต้องรอดให้ลูกโต นั่นแหละคือจุดมุ่งหมายอันต่อไป และเราจะมานั่งป้อแป้ไม่ได้แล้ว



ซึ่งตอนนั้นงานก็ต้องหาเพราะต้องหาเงินและยังต้องเลี้ยงลูกอีก ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง ?

ก็เหนื่อยนะแต่ว่าต้องขอบคุณลูกนะ มันทำให้ชีวิตเรามีการพัฒนาการ ต้องใช้สมองตลอดเวลาว่าช่วงนี้จะอย่างไร อนุบาลเราก็ยังไปส่ง เย็นให้นั่งรถโรงเรียนกลับต่างๆนานา เราไปรับพยายามที่จะทำให้ได้มากที่สุด

แล้วพี่ดี้สื่อสารกับลูกอย่างไร ในวันที่ครอบครัวเราเดินหน้าต่อไปไม่ได้แล้ว ?

ตอนนั้นลูกเล็กมากไม่ต้องสื่อสารอะไรลูกมันเอาไม่อยู่แล้วมันเห็นแม่ทุกวัน พอโตขึ้นมาเราอยู่กับเขา คุยกับเขาสอนเขาทุกวี่ทุกวัน เขาก็ฟังเราไงคะ แล้วพอเขาโตมาอีกสเตปหนึ่ง เราก็ฟังความคิดเขาด้วยคือไม่ได้สอนแล้วให้ฟังเราอย่างเดียว พูดจริงๆว่า ดี้ ไม่ได้จะเบลมพ่อเขาเลย เฉยๆต่างๆนานาไปเรื่อยๆ จนเขาโตขึ้นมาเองเนี่ยเราถึงต้องพูด อธิบายให้เขาฟังว่ามันเป็นอย่างไร