"บิ๊กน้อย"กลับ พปชร. นั่งประธานที่ปรึกษา "บิ๊กป้อม" เตรียมเข้าประชุมใหญ่ 27 ม.ค. ยันไม่เป็น กก.บห. ไม่ลงส.ส.บัญชีรายชื่อ
เมื่อวันที่ 26 ม.ค.66 พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา หัวหน้าพรรครวมแผ่นดิน ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้เตรียมสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)ตามคำเชิญของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า พปชร.โดยพล.อ.วิชญ์ จะเข้าร่วมการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 1/2566 ของพรรคในวันที่ 27 ม.ค.นี้ ด้วย และอาจจะยื่นใบสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิก พปชร.ด้วย
"ผมต้องการเข้ามาช่วยงานพล.อ.ประวิตร ในการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยจะกลับมาเป็นประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค เท่านั้น จะไม่ขอรับตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค หรือ ลงสมัครรับเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อ และเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมีขึ้นมีความสำคัญเนื่องจากจะเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนจะพิจารณาเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสม ทำประโยชน์ดูแลประชาชนมากกว่าที่จะดูเฉพาะพรรค หรือ กระแสอย่างเดียว และเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง” พล.อ.วิชญ์ กล่าว
พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร มีความเหมาะสม ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ได้เพราะมีประสบการณ์ ทั้งการรับราชการทหาร เสียสละ ทำงานให้กับบ้านเมือง และช่วยเหลือประคับประคองรัฐบาลมาโดยตลอด และเป็นคนทำงาน และทำงานร่วมกันมา 30 -40 ปี ก็เป็นตัวอย่างให้กับตนเอง โดยเฉพาะมีภาวะความเป็นผู้นำ ที่ดี ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาและมีความตั้งใจ ทำงานการเมืองเพื่อลดความขัดแย้ง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเนื่องจากบ้านเมือง หากยังขัดแยังแบ่งฝ่าย แบ่งขั้วแบ่งสี ประเทศจะไปไม่ได้ เราต้องพยายามช่วยกัน วางอนาคตให้กับลูกหลาน เพราะความขัดแย้งยังอยู่ การแบ่งฝ่ายแบ่งพวก อย่ามองว่าพล.อ.ประวิตร สามารถพูดคุยดีลกับพรรคการเมืองต่างๆได้หลังการเลือกตั้ง เพราะใครที่ประชาชนเลือกเข้ามาทุกคนสามารถทำได้ อย่าแบ่งฝ่ายแบ่งพวก ถือว่าเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการให้กับบ้านเมือง หากแบ่งฝ่ายแบ่งสีแบ่งพวก จะไม่สามารถบริหารบ้านเมืองได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า มองอย่างไรกับการแข่งขันบนสนามการเมืองระหว่างพล.อ.ประวิตร กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.วิชญ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา ที่พล.อ.ประยุทธ์ กับพล.อ.ประวิตรจะแข่งขัน ขับเคี่ยวกันในสนามการเมืองกันอย่างเข้มข้น แต่สุดท้าย ความเป็นพี่น้องไม่มีวันจืดจาง ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง 2 ป หรือ พี่น้อง 3 ป เพราะรู้จักมานาน ทำงานร่วมเป็นร่วมตายกันมาในชายแดน ไม่มีใครทิ้งใคร ความเป็นผู้นำ ความเป็นทหาร มีสายโลหิตเต็มตัว ส่วนความคิดเห็นต่างมีแน่นอน แต่อย่าได้มองเป็นความขัดแย้ง ความเป็นพี่น้องรักกัน 100% ขณะเดียวกันเป็นโอกาสที่ดีที่ประชาชนจะได้เลือกผู้นำประเทศ โดยเอาอดีต ที่มีผลงานมาพิจารณาก็จะเห็นความเหมาะสม