กรมอุทยานเดินหน้าสางปมข้อพิพาทที่ดินทับซ้อนบนเกาะหลีเป๊ะ

2023-01-25 21:14:28

กรมอุทยานเดินหน้าสางปมข้อพิพาทที่ดินทับซ้อนบนเกาะหลีเป๊ะ

Advertisement

กรมอุทยานแห่งชาติฯ เดินหน้าสางปมข้อพิพาทที่ดินทับซ้อนบนเกาะหลีเป๊ะ หากพบนายทุนรุกที่ดำเนินคดีทุกราย เสนอตั้งคณะกรรมการทุกภาคส่วนร่วมตรวจสอบ

เมื่อวันที่ 25 ม.ค.66 นายนรินทร์ ประทวนชัย รองอธิบดีกรมกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช  ในฐานะโฆษกกรมกรมอุทยานแห่งชาติฯ  เปิดเผยถึงกรณีการแก้ปัญหาข้อพิพาทที่ดินทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตา ของชาวอุรักลาโว๊ย บนเกาะหลีเป๊ะ เสนอแนวทางทำแผนที่แนวเขตที่ดินในรูปของคณะกรรมการ ว่า ตนเองได้เดินทางลงพื้นที่เกาะหลีเป๊ะ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา เพื่อร่วมประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกรณีปัญหาข้อพิพาทในที่ดินที่เกี่ยวข้องกับชาวเลเกาะหลีเป๊ะ ณ ห้องประชุมเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล เมื่อวันที่ 22 ม.ค.66 ในประเด็นปัญหาที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน เกิดข้อพิพาทและฟ้องร้องสิทธิการครอบครอง ระหว่างชาวเลอูรักลาโว๊ย เกาะหลีเป๊ะกับผู้ประกอบการ คณะกรรมการฯ กรมที่ดินได้ชี้ยืนยันแนวเขต หนังสือแสดงสิทธิการครอบครองที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 11 ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ การครอบครองดินส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรีสอร์ท มีหนังสือแสดงสิทธิการครอบครองที่ดิน น.ส.3 และ ส.ค.1 โดยมีชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ น.ส.3 เลขที่ 11ด้วย จากการตรวจสอบพื้นที่ พบว่า ตามเอกสาร น.ส.3 เลขที่ 11 พื้นที่จำนวน 81 - 3 - 40 ไร่ พื้นที่บางส่วนได้ซ้อนทับกับที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวเลดั้งเดิม และมีบางส่วนของชุมชนอยู่นอกพื้นที่ น.ส.3 เลขที่ 11 แนวทางการแก้ไขปัญหาจึงต้องตรวจสอบที่ดินตามหลักฐานเอกสาร น.ส.3 ส.ค.1 พร้อมที่ตั้งของที่อยู่อาศัยของราษฎรชาวเล และทำแผนที่แนวเขตที่ดินในรูปของคณะกรรมการฯ


ส่วนกรณีนายทุนที่มีการบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติตะรุเตานั้น  นายนรินทร์  กล่าวว่า  ทางอุทยานฯ ได้ดำเนินคดีพื้นที่บริเวณเกาะหลีเป๊ะ มาตั้งแต่ปี 2557 ถึงปัจจุบัน รวม 44 คดี โดยมีคดีสิ้นสุดแล้ว 22 คดี อยู่ในชั้นอัยการ 18 คดี ชั้นศาล 4 คดี การแก้ไขปัญหาที่ดินซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินของราษฎรดั้งเดิมในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา ได้ดำเนินการสำรวจการครอบครองพื้นที่ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎรในเขตป่าอนุรักษ์ (ตามมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ 2562) ล่าสุดจากการตรวจสอบ เมื่อวันที่ 23 ม.ค.66 กรมที่ดินได้ชี้ยืนยันแนวเขต น.ส.3 เลขที่ 11 ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ พบว่ามีรีสอร์ท เข้าทำประโยชน์นอกพื้นที่ น.ส.3 เลขที่ 11 จำนวน 2 แห่ง นอกจากนี้ได้ดำเนินการตรวจยึดสระน้ำของรีสอร์ทที่มีการก่อสร้างเพิ่มเติมอีก 1 แห่ง จากที่ได้ดำเนินคดีไปแล้ว รวม 3 คดี พื้นที่ 5 ไร่ 1 งาน 46.8 ตารางวา


ส่วนชุมชนชาวเลที่อาศัยอยู่นอกพื้นที่ น.ส.3 เลขที่ 11 นั้น นายนรินทร์ กล่าวว่า  ให้กรมอุทยานฯ ดำเนินการสำรวจตามมาตรา 64 พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 แต่หากพบว่าเป็นนายทุนครอบครองทางกรมจะดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด สำหรับแปลงคดีอาญาที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว กรมบังคับคดีจะลงพื้นที่ร่วมกับกรมอุทยานฯ บังคับคดีเพื่อรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากบริเวณพื้นที่อุทยานแห่งชาติตามคำสั่งศาลต่อไป และคณะกรรมการฯ ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯ รวบรวมเอกสารเกี่ยวกับคดี/คำพิพากษา และข้อมูลที่เกี่ยวข้องส่งให้ DSI เพื่อดำเนินการยกเลิกเพิกถอนเอกสารแปลง ส.ค.1 และ น.ส.3 ที่ออกโดยมิชอบโดยการสืบสวนของDSI ด้วย โดยทางกรมได้ขอความร่วมมือ ผกก.สภ.เกาะหลีเป๊ะ ให้สำรวจจำนวนโรงแรมที่ตั้งบนเกาะหลีเป๊ะทุกรายที่มีการดำเนินการอย่างถูกต้องหรือไม่ อย่างไรก็ตามจากผลการแปลภาพถ่ายโดย DSI พบว่าแปลงที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 11 มีพื้นที่บางส่วนไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์นั้น ทางกรมจะนำหลักฐานทั้งหมดมาพิจารณาดำเนินการแจ้งความในส่วนที่เกี่ยวข้อง ในส่วนของการกระทำผิดการจับสัตว์น้ำในพื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 ทางกรมจะพิจารณาดำเนินการตามระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป