คนขับเบนท์ลีย์เปิดใจไม่ได้เมา ไวน์ในรถขวดเปล่าเพื่อนลืมไว้

2023-01-12 16:47:20

คนขับเบนท์ลีย์เปิดใจไม่ได้เมา ไวน์ในรถขวดเปล่าเพื่อนลืมไว้

Advertisement

คนขับเบนท์ลีย์เปิดใจไม่ได้เมา ดื่มแชมเปญแค่ 2 แก้วเล็ก ๆ ไวน์ในรถเป็นขวดเปล่าของเพื่อนชอบสะสมลืมไว้  ยันไม่ปฏิเสธเป่าแอลกอฮอล์แต่ตรวจเลือดชัวร์กว่า 

เมื่อวันที่ 12 ม.ค.66 เพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว ของ "พี่ยุทธ" ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง รายงานความคืบหน้ากรณีเสี่ยนักธุรกิจขับรถเบนท์ลีย์ซิ่งรถบนทางด่วนไปเฉี่ยวชนกับรถปาเจโร่ ที่ขับอยู่เลนกลาง ทำให้รถปาเจโร่เสียหลักไปชนกับรถดับเพลิงที่วิ่งอยู่เลนขวา ขณะกำลังรีบไปช่วยเหตุเพลิงไหม้ย่านอุดมสุข เหตุเกิดช่วงกลางดึกของวันที่ 8 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า  นักธุรกิจและนายทุนพรรคการเมืองแห่งหนึ่ง ซึ่งคนขับรถเบนท์ลีย์ในวันเกิดเหตุ ยืนยันว่า ไม่ได้เมา ปกติเป็นคนไม่ดื่มอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นโรคกระเพาะและกรดไหลย้อน ทำให้ดื่มเครื่องดื่มที่อัดแก๊สหรือเป็นกรดไม่ได้ และไม่ได้ดื่มมาสักพักใหญ่แล้วเพื่อรักษาโรค ในวันนั้นในโต๊ะอาหารมีเพราะเพื่อนๆไปด้วยกัน จึงสั่งแชมเปญมาดื่ม 1 ขวด แต่ก็ยอมรับว่าดื่มเพียงไป 2 แก้วเล็กๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น ซึ่ง 2 แก้วนี้ ใช้เวลาดื่มตั้งแต่เวลา 19.00 น. จนถึง 22.00 น.   ส่วนขวดไวน์ที่เจอในรถเบนท์ลีย์หลังเกิดเหตุนั้น   เป็นขวดไวน์ที่ไม่ได้ดื่มในวันนั้น แต่ก่อนหน้านี้ตนไปกับเพื่อน 4 คน โดยแฟนเพื่อนอยากได้ขวดไวน์นี้ เพราะเป็นไวน์นำเข้าจากต่างประเทศ และเป็นขวดไวน์เปล่า โดยเพื่อนเป็นคนเอามา และลืมทิ้งไว้บนรถเป็นเวลาประมาณกว่า 1 สัปดาห์แล้ว พร้อมย้ำว่าวันนั้นไม่ได้ดื่มไวน์ด้วย

เมื่อถามถึงประเด็นการปฏิเสธเป่าตรวจวัดแอลกอฮอล์ คนขับเบนท์ลีย์ ยืนยันว่า ไม่ได้ปฏิเสธ แต่การตรวจเลือดชัวร์กว่า อีกทั้งวันเกิดเหตุมีพนักงานสอบสวนมีอยู่คนเดียว แล้วมีกู้ภัยมาประมาณกว่า 30 คน อีตนเจ็บหน้าอก หายใจไม่ออกจึงมองว่าไปตรวจเลือดเพื่อความชัวร์ ส่วนเรื่องเคี้ยวหมากฝรั่งตนเป็นคนที่ติดบุหรี่ ตอนนั้นไม่ได้สูบบุหรี่ จึงเปลี่ยนวิธีเป็นการเคี้ยวหมากฝรั่งแทน เพื่อลดความอยาก ไม่ได้เคี้ยวเพื่อลดกลิ่นหรือปริมาณแอลกอฮอล์ เมื่อเคี้ยวหมากฝรั่งเสร็จ ฝั่งกู้ภัยเห็นตนเคี้ยวหมากฝรั่ง จากนั้นอยู่ดีๆ ฝั่งกู้ภัย 1 คน ก็มาเตะตนเต็มแรงไป 1 ครั้ง ยืนยันว่ายืนอยู่เฉยๆอีกฝ่ายก็มาเตะ ไม่ได้ไปพูดจายียวนหรืออะไร ซี่งโดนเตะตนหลังบิด ถึงขั้นต้องมากายภาพบำบัด

คนขับเบนท์ลีย์ ชี้แจงว่า ตอนอยู่บนทางด่วน หน่วยกู้ภัยมาที่เกิดเหตุ แล้วได้มาขอดูใบขับขี่ ตนจึงได้ให้ใบขับขี่ไว้ให้ หลังจากนั้นตนอยากไปนั่งพัก อยากไปเข้าห้องน้ำ เพราะคิดว่ารถคว่ำบนทางด่วน แต่ยังไม่ทำอะไรสักที จึงได้บอกกู้ภัยว่า พี่พาผมไปส่งที่ สน.ก่อนได้ไหม จึงนั่งรถมาที่ สน. เข้าพบร้อยเวร ซึ่งขณะนั้นตนและผู้หญิงที่มาด้วยก็บาดเจ็บเพิ่งไปทำจมูกมาและมีเลือดไหล จึงคิดว่าจะไป รพ.ก่อน เดี๋ยวกลับมา  พอขึ้นรถแท็กซี่ ฝั่งกู้ภ้ยก็มาล้อมบอกว่าตนจะหนี  ขอถามว่า ใบขับขี่อยู่กับพนักงานทางด่วน บัตรประจำตัวประชาชนอยู่กับร้อยเวร รถผมอยู่ตรงนั้น ผมจะหนีไปไหน แล้วผมรู้ว่าไม่มีคนตาย ทุกคนเดินได้หมด เป็นพี่จะหนีให้โดนออกหมายจับหรอ หน่วยกู้ภัยเขายังไปทำแผล ทุกคนไปทำแผลหมด แล้วผมไม่มีสิทธิไปทำแผลหรอ ถ้ามันมีคนตาย 10 คนก็อีกเรื่องนึงถูกไหม นี่ไม่มีคนตาย ทุกคนเดินกันปกติ ไม่มีใครเป็นอะไร  อีกทั้งนั่งรอที่โรงพักก็ไม่มากันสักที ก็เลยขอไปให้หมอดูอาการสักครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาคุยเรื่องคดี และเรื่องการเยียวยา

เมื่อถามว่าหลังจากผลตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ในเลือดออก พบว่าอยู่ที่ 10.73 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ คนขับเบนท์ลีย์ กล่าวว่า ก็ผมดื่มเท่านั้น ผมยังไม่รู้เลยว่าผลแอลกอฮอล์ออกทาเท่าไหร่ นักข่าวยังพากันรู้ก่อนอีก ส่วนตัวเพิ่งมารู้ช่วงบ่ายวันที่ 11 ม.ค.66 โดยพนักงานสอบสวนนัดตนไปแจ้งข้อกล่าวหา แล้วฝากขัง จากนั้นจึงยื่นประกันและได้รับการประกันตัว เมื่อถามว่าตำรวจเรียกไปแจ้งข้อกล่าวหา รับหรือปฏิเสธ คนขับเบนท์ลีย์ ระบุว่า ไม่ได้รับหรือปฏิเสธ แต่ตนก็ได้อธิบายเหตุผลให้ฟังผลตรวจแอลกอฮอล์ก็เท่านี้ รถชนเท่านี้ แล้วคุณจะให้ทำอย่างไร ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ดุลพินิจของตน  ส่วนการเยียวยาตอนนี้ ได้พูดคุยกับทั้ง 2 ฝ่ายแล้วว่าพร้อมเยียวยาทั้งหมด โดยส่วนของกู้ภัย จะบริจาคเงินให้กับทางมูลนิธิ อปพร. จำนวน 100,000 บาท และจะดูแลเรื่องรถให้เช่นกัน  ส่วนฝั่งปาเจโร่ ได้ให้ตัวแทนเอากระเช้าไปแสดงความขอโทษที่ รพ. และได้มอบเงินเยียวยาเบื้องต้นใหก่อนแล้ว 100,000 แสนบาท ส่วนเรื่องรถก็พร้อมดูแลให้เช่นกัน ส่วนค่ารักษาพยาบาลก็พร้อมดูแลทั้งหมด

คนขับเบนท์ลีย์ ฝากถึงสังคมว่า อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แล้วไม่ใช่ว่าจะเป็นคนรวยคนจน ไม่ได้วัดว่าดีหรือไม่ดี มันอยู่ที่ความรับผิดชอบ เราอย่ามานั่งตัดสินคนอื่นก่อน เช่นว่า เห็นหน้าแล้วบอกว่าเป็นคนเลว แต่เขาอาจเป็นคนที่ทำความดีให้สังคม ผมบาดเจ็บ การเจรจามันก็ต้องเจรจา แต่พวกคุณก็ใส่ผมแล้วว่าเป็นอย่างนี้ๆ ผมถามว่าผมเสียหายไหม ผมเป็นจำเลยสังคมไหม มีใครให้โอกาสผมบ้างไหม แล้วครอบครัว พี่น้อง เพื่อนฝูง ทุกคนเป็นห่วงผมหมด


ขอบคุณเพจ สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว