โรคกระดูกพรุน อันตรายอย่างไร
อะไรคือ โรคกระดูกพรุน ?
ก่อนอื่นต้องทำความรู้จักกับโรคกระดูกพรุนกันก่อนว่าคืออะไรกันแน่ ถ้าให้นิยามละก็โรคนี้คือ ภาวะมีมวลกระดูกของเราลดน้อยลง เพราะมีการสลายกระดูกเร็วกว่าการสร้างกระดูก เนื่องจากปกติกระดูกของเราไม่ใช่ว่าสร้างมาแล้วก็สร้างมาเลยนะ เพราะมันก็จะสลายแล้วสร้างทดแทนขึ้นเหมือนกัน เพียงแต่พอแก่ตัวลงหรือคนที่เป็นโรค อัตราการสลายกระดูกมากขึ้น จนสร้างกระดูกกลับมาไม่ทัน เป็นผลให้ความแข็งแรงของกระดูกลดน้อยลง เพราะ 80% ของผู้ป่วย จะเกิดจากการสลายตัวของกระดูกที่สูงขึ้น อีก 20% ที่เหลือเกิดจากการสร้างกระดูกลดลง
แล้วอันตรายอย่างไร ?
โรคนี้ส่งผลให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง ทำให้ความสามารถในการรับน้ำหนักหรือแรงกระทําต่าง ๆ ก็ลดลงทำให้แตกและหักได้ง่าย ซึ่งตําแหน่งที่พบกระดูกหักบ่อย ๆ คือ กระดูกปลายแขน ข้อสะโพกและกระดูกสันหลัง หากหักขึ้นมาก็มีโอกาสเป็นผู้ป่วยติดเตียงและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ จนเป็นสาเหตุไปสู่การเสียชีวิตได้
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นโรคกระดูกพรุน
ส่วนใหญ่มารู้ตัวเอาตอนกระดูกหักกันไปแล้ว ถึงอย่างนั้นบางคนก็มีอาการแสดงให้เห็น เช่น กระดูกสันหลังหัก เลยทําให้หลังโก่ง ตัวเตี้ยลง ถ้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไป เป็นสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือมีญาติใกล้ชิดและคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ ซึ่งวิธีการตรวจมวลกระดูกนั้น ทำได้โดยใช้เครื่องตรวจมวลกระดูกที่มีในโรงพยาบาล โดยเครื่องจะใช้รังสีปริมาณเล็กน้อยเพื่อสแกนจุดสำคัญในร่างกาย 2 จุด คือ บริเวณกระดูกสันหลังและกระดูกสะโพก เพื่อดูว่ามวลกระดูกเป็นอย่างไร เพราะถ้ามีภาวะกระดูกพรุนแล้วกระดูกตรงนี้หักขึ้นมา ก็จะส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตอย่างมาก
วิธีรักษาหรือป้องกัน
ร่างกายเราจะเริ่มสะสมมวลกระดูกมาเรื่อย ๆ จนอายุราว 30-35 ปี จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลง หากจะป้องกันก็ต้องกินอาหารที่มีแคลเซียมสูงตั้งแต่เด็ก ๆ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ส่วนการรักษานั้นจะรักษาด้วยการใช้ยา โดยแบ่งยาออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกันคือ ยาที่ยับยั้งเซลล์สลายกระดูกให้ทำงานช้าลง และยาที่กระตุ้นเซลล์สร้างกระดูกให้ทำงานเร็วขึ้น ซึ่งยาจะช่วยไม่ให้โรคพัฒนาขึ้น โดยยารักษาชนิดรับประทานจะรับประทานสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หรือเดือนละ 1 ครั้ง แต่ปัญหาที่มักพบคือผู้ป่วยลืมรับประทานยา ทำให้ผลการใช้ยาไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ดังนั้น การใช้ยารับประทานจำเป็นที่จะต้องมีวินัยอย่างมาก แต่ก็มีทางเลือกอื่นคือการใช้ยาชนิดฉีด ซึ่งอาจเป็นชนิดปีละ 1 ครั้ง หรือทุก 6 เดือน โดยยากลุ่มนี้ต้องมาฉีดที่โรงพยาบาลตามบัตรนัด ซึ่งช่วยป้องกันการลืมรับประทานยาได้อย่างมาก นอกจากนี้ยาชนิดฉีดก็มีประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ข้อเสียสำคัญคือ มีราคาค่าตัวสูงกว่ายารับประทานพอสมควรทีเดียว
ผศ.นพ.กุลพัชร จุลสำลี
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ สถาบันการแพทย์จักรีนฤบดินทร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล