กรมสุขภาพจิตเผยเหตุหนองบัวลำภูผู้ต้องช่วยเหลือ 7,000 คน ทั้งญาติ ชุมชน รร.

2022-10-10 14:24:53

กรมสุขภาพจิตเผยเหตุหนองบัวลำภูผู้ต้องช่วยเหลือ  7,000 คน ทั้งญาติ  ชุมชน รร.

Advertisement

อธิบดีกรมสุขภาพจิตเผยส่งทีมประกบผู้สูญเสียหนองบัวลำภูผู้ต้องช่วยเหลือประมาณ  7,000 คน ทั้งญาติ  ชุมชน  โรงเรียนใกล้เคียง หลายรายน่าห่วง วอนสื่อปรับภาษาสื่อสาร

เมื่อวันที่ 10 ต.ค. เวลา 10.30 น. ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวการดูแลสภาพจิตใจผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงที่จังหวัดหนองบัวลำภู ว่า โดยแผนการดำเนินการดูจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ 1. การเข้าไปดูแลทันทีภายใน 3 วันแรก การที่ผู้ประสบเหตุได้รับการดูแลทางกายให้มีความปลอดภัยที่รวดเร็ว ก็ทำให้การดูแลสภาพจิตใจทำได้ดีขึ้น 2. การดูแลในระยะ 2 สัปดาห์ เป็นต้นไป จากความเศร้าโศกที่วุ่นวาย ยุ่งเหยิน จะกลายเป็นเศร้าโศกอย่างโดดเดี่ยว ทีมสุขภาพจิต (MCATT) จะอยู่ในพื้นที่ตลอด ตั้งศูนย์เยียวยาในชุมชน และมีแผนเดินเท้าเยี่ยมบ้าน และ 3.การดูแลต่อเนื่องระยะ 3 เดือน หรือมากกว่านั้น  ทั้งนี้จากเหตุการณ์ดังกล่าว วันแรกๆ มีผู้รับผลกระทบทางตรง 170 คน แต่เมื่อสถานการณ์คลายตัวเยอะจึงเหลือหลักสิบกว่าคน มีบางรายที่ยังเสียใจมาก และไม่สามารถปรับตัวได้ จนอยากทำร้ายตัวเอง ซึ่งกลุ่มนี้ได้รับการดูแลแล้ว จากนั้นมีกลุ่มที่กินไม่ได้นอนไม่หลับ มีปัญหาสุขภาพกายเพิ่มขึ้นอีก 10 ราย ทั้งนี้ บางรายเริ่มเกิด PTSD ฝันร้าย เกิดภาพติดตา คิดวนเวียน นอนไม่หลับ บางรายเกิดความขัดแย้งในครอบครัว จากความสูญเสีย แต่ทุกรายได้เจอจิตแพทย์แล้ว อย่างไรก็ตาม กล่าวได้เบื้องต้นว่ามีผู้ได้รับผลกระทบที่ต้องดูแลแบ่งเป็น 1. ผู้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งมีเยาวชนต่ำกว่า 18 ปีอยู่ 60 คน และ 2.กลุ่มที่ไม่ใช่ญาติสายตรงของผู้บาดเจ็บหรือผู้เสียชีวิต แต่อยู่ใน ต.อุทัยสวรรค์มีอยู่ 6,500 คน และเด็กใน 2 โรงเรียนที่อยู่ในที่เกิดเหตุอีก 129 และ 3.กลุ่มที่ได้รับข่าวสารทั้งภายในจังหวัดและในประเทศ สำหรับกรณีที่มีการหวาดกลัวไม่กล้าให้ลูกหลานไปเรียนนั้น อาจจะต้องมีการยืดหยุ่น ครูก็ทำความเข้าใจ อาจจะหยุดเรียนไปสักระยะ แล้วทำกิจกรรมในสังคมอย่างอื่นแทน ทั้งนี้กรมฯ จะเข้าไปทำความเข้าใจกับครูทั้งจังหวัดด้วย

เมื่อถามว่าขณะนี้ในพื้นที่มีการต่อว่า ขับไล่แม่ผู้ก่อเหตุ กรณีเช่นนี้ต้องมีการดูแลอย่างไร พญ.อัมพร กล่าวว่า โดยหลักการสำคัญทั้งคุณแม่ผู้ก่อเหตุ หรือครอบครัวผู้ก่อเหตุถือเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงในเรื่องสภาพจิตใจ ซึ่งทีมได้เข้าไปดูแลตั้งแต่แรกเริ่ม และเฝ้าระวังปัญหาจิตใจ สภาพแวดล้อม และเตรียมทางเลือกให้ครอบครัวปรับตัวและก้าวข้ามไปได้ ซึ่งไม่มีใครต้องการให้ครอบครัวเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น อย่างไรก็ตาม จริงๆ การแยกออกจากสิ่งแวดล้อม ณ ขณะนั้นก่อน จะเป็นประโยชน์มาก เพราะช่วงแรกๆ จะส่งผลต่อครอบครัวนั้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคม คนรอบข้างผู้สูญเสีย จะมีวิธีการช่วยเหลือ ประคับประคองให้ผู้ประสบเหตุผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร พญ.อัมพร กล่าวว่า ต้องประคับประคองจิตใจให้เป็น การปรอบโยนให้เป็น การใส่ใจอารมณ์ แต่ไม่ขุดคุ้ยขยี้ถาม ใส่ใจอารมณ์ และจากนี้การเสนอความช่วยเหลือ การดึงประโยชน์ของชีวิตที่จะเดินหน้าต่อไปให้ได้ การมีเวลาร่วมกันในการทำกิจกรรมประเพณีร่วมกันก็จะช่วยประคับประคอง และหล่อหลอมจิตใจร่วมกันได้ รวมถึงผู้ใหญ่ต่างๆ ลงไปเยี่ยมเยียนก็ช่วยสภาพจิตใจได้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้สิ่งที่อาจจะเจอได้ในผู้สูญเสีย เนื่องจากมีพิธีการ มีงานศพ คนมารวมตัวกัน อาจจะเจอภาวะหายใจหอบถี่ เหนื่อย แขนขาจีบจากความเครียดพุ่งสูง คนที่อยู่ใกล้ชิดสามารถช่วยให้ผู้สูญเสียตั้งหลัก หายใจลึกๆ หรือใช้กระดาษ A4 ทำเป็นกรวยครอบไว้สักพัก เพื่อให้หายใจช้าลง แล้วอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น ๆ หรือบางคนอาจจะมีภาวะถดถอยทางจิตใจ อาจจะมีพฤติกรรมกรีดร้อง หรือมีท่าทีคล้ายกับผู้ที่จากไป ซึ่งจะโน้มนำให้เกิดอุปทานหมู่ได้ หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น ขออย่ามุงดู แต่ให้ประคองผู้มีอาการออกมาให้อยู่ที่สงบ แล้วอาการจะดีขึ้น และคนรอบข้างก็จะไม่เกิดอาการทางจิตใจร่วม

เมื่อถามว่า เนื่องจากมีเหตุการณ์กราดยิงเกิดหลายครั้ง เวลาใกล้กัน จึงกังวลว่าจะเป็นการลอกเลียน และกังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก พญ.อัมพร กล่าวว่า จากการที่เราคาดการณ์ได้ทั่วโลก และประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นฐานเดิมก่อนที่จะมีการระบาดของโรคโควิด -19 จะพบเรื่องความก้าวร้าวรุนแรง เรื่องความเครียดของสังคมมีมากขึ้นเรื่อยๆ แต่มีเจอการระบาดของโรคโควิดมา 2 ปีกว่า เห็นได้ชัดว่าแนวโน้มเรื่องนี้จะเกิดขึ้น ซึ่งมีการเฝ้าระวังกันอยู่ และเราก็หวังว่าเราจะสามารถป้องกัน หรือหยุดมันให้ได้มากที่สุด จากข้อมูลความรุนแรงในอดีต กับเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งนี้ที่เราได้เริ่มทำการวิเคราะห์ หรือเป็นการชันสุตรทางด้านจิตใจ แกะรอยทั้งประเด็นแง่มุมของสังคม แง่มุมของจิตใจ เกี่ยวข้องกับการก่อความรุนแรงมีอะไรบ้าง ซึ่งดำเนินการแล้ว และต้องใช้เวลานานในการชันสูตร เพราะต้องการข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งตอบไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน เพราะบางเรื่องที่เป็นความเจ็บปวดบางครั้งจะมีความเร้นลับของบางเรื่องอยู่ด้วย  อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นได้เสมอในเหตุการณ์ความรุนแรง พบว่า 1. มีเรื่องสารเสพติด 2. เรื่องอาวุธ และ 3.ปฏิเสธไม่ได้คือเรื่องของสุขภาพจิต จะเป็นตัวที่เชื่อมโยง 2 ปัญหาแรก เข้าถึงกันจึงเกิดเป็นปรากฏการณ์ความรุนแรง ดังนั้นเราต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องสื่อมวลชน เพื่อเป็นการป้องกันการเลียนแบบ จึงขอให้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า  "กราดยิง" รวมถึงการพูดถึงเหตุการณ์นี้ ในระยะนี้อาจอ้างอิงว่า “เหตุการณ์ความรุนแรงที่จังหวัดหนองบัวลำภู” แต่อีกสักระยะหนึ่ง เราไม่อยากให้หนองบัวลำภูอยู่กับชื่อนี้และเจ็บปวดไปตลอด จึงค่อยๆ ปรับคำนี้ว่าเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 

เรื่องความรุนแรงที่เกิดขึ้นวันนี้ สิ่งที่ต้องป้องปรามให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับคดีนี้หรือไม่ก็ตาม คือเรื่องยาเสพติด ตอนนี้หลายพื้นที่ตื่นตัว และลงไปเอ็กซเรย์แต่ละชุมชนว่ามีผู้ติดยาเสพติดมากน้อยแค่ไหน ได้รับการดูแลไม่ลงตัวอย่างไร จะได้แก้ไข รักษา 2.ผู้ป่วยจิตเวช ซึ่งในการระบาดของโรคโควิด – 19 มีปัญหาการขาดยาได้ง่าย และมีข้อจำกัดในการรักษา 3. ปัญหาความสัมพันธ์ ที่มักเป็นฟางเส้นสุดท้าย ต้องสร้างความเข้าใจ และปรับตัวได้ของทุกกลุ่ม ดังนั้นกลไกทางจิตเวชจ้องเข้าไปช่วยทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะสถานศึกษา ที่ทำงาน กลไกกระบวนการยุติธรรม กฎหมาย ที่จะต้องมีมิติด้านสุขภาพจิตไปร่วมจัดการด้วย ถือเป็นเรื่องใหม่ที่สังคมต้องปรับตัวเพื่อช่วยลดความรุนแรง