นิวยอร์ก, 14 ส.ค. (ซินหัว) — เมื่อวันพฤหัสบดี (11 ส.ค.) เดอะวอลล์สตรีตเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่าจำนวนวีซ่านักเรียนนักศึกษาของสหรัฐฯ ที่ออกให้แก่ชาวจีนลดลงมากกว่าร้อยละ 50 ในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 เมื่อเทียบกับระดับก่อนเกิดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) โดยสหรัฐฯ กำลังร่วงจากอันดับ 1 ประเทศที่นักเรียนนักศึกษาชาวจีนต้องการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษามากที่สุด
รายงานระบุว่านักเรียนนักศึกษาชาวจีนเปลี่ยนใจไปศึกษาต่อในประเทศอื่นๆ นอกเหนือจากสหรัฐฯ แม้ตอนก่อนเกิดโรคระบาด อันเนื่องมาจากความไม่แน่ใจว่าจะได้รับการต้อนรับจากสหรัฐฯ หรือไม่ รวมถึงมีทางเลือกด้านการศึกษามากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปัญหาเหล่านี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นหลังมีการจำกัดการเดินทางและความกังวลด้านความปลอดภัยที่เพิ่มสูงขึ้นระหว่างการระบาดใหญ่
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่าสหรัฐฯ ได้ออกวีซ่าประเภทเอฟ-1 (F-1) หรือวีซ่านักเรียน จำนวน 31,055 รายการให้แก่ชาวจีน ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ลดลงจาก 64,261 รายการ ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2019 ซึ่งการลดลงครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ทั่วประเทศ รวมถึงมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของแต่ละรัฐ
รายงานชี้ว่าจีนถือเป็นแหล่งนักเรียนนักศึกษาต่างชาติรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ เป็นเวลานานกว่าทศวรรษ โดยพวกเขาจ่ายค่าเล่าเรียนให้แก่มหาวิทยาลัยจำนวนมหาศาล ซึ่งช่วยชดเชยค่าเล่าเรียนจากนักศึกษาในประเทศที่ลดลง และเงินอุดหนุนจากรัฐแก่มหาวิทยาลัยรัฐที่น้อยลง
ทั้งนี้ รายงานจากสถาบันการศึกษานานาชาติ (IIE) ชี้ให้เห็นว่าชาวจีนครองสัดส่วนร้อยละ 35 ของชาวต่างชาติที่ศึกษาในสหรัฐฯ ในปีการศึกษา 2019-2020 ซึ่งเป็นช่วงก่อนการระบาดใหญ่จะส่งผลกระทบต่อจำนวนนักศึกษาต่างชาติ ทั้งยังมีส่วนสนับสนุนมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง 1.59 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 5.6 แสนล้านบาท)