"ชัชชาติ" บรรยายพิเศษแก่นักบริหารระดับสูง ย้ำทุกคนต้องร่วมมือกันทำ กทม.ให้เป็นเมืองน่าอยู่
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 65 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. บรรยายพิเศษในหัวข้อ "Prepare for the Future" ให้แก่นักบริหารระดับสูง ตามโครงการฝึกอบรมการพัฒนาผู้บริหารระดับสูง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ณ ห้องเจ้าพระยา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) เขตพระนคร
โอกาสนี้ ผู้ว่าฯกทม. ได้กล่าวถึง Strategy (ยุทธศาสตร์) ซึ่งประกอบด้วย 1. Diagnosis (การวิเคราะห์) 2. Guide policies (แนวทางนโยบาย) และ 3. Coherent action plans (แผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกัน) โดยยุทธศาสตร์ที่แท้จริงจะต้องมี action plans ไม่เช่นนั้นจะเป็นเพียงแค่สโลแกน พร้อมได้ยกตัวอย่าง 216+ นโยบายของกรุงเทพมหานครว่า คือ action plans ที่ตอบยุทธศาสตร์รวม จากนั้นได้พูดถึง 2 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ คือ CEO และ Manager โดย CEO คือผู้ที่วางยุทธศาสตร์ รู้ว่าจะต้องทำอะไรตอนที่ไม่มีอะไรให้ทำ แต่เมื่อรู้ว่าจะต้องทำอะไรแล้ว จะต้องมี Manager ซึ่งเป็นผู้ที่มีกลยุทธ์ รู้ว่าจะต้องทำอะไรเมื่อมีสิ่งที่ต้องทำ นำแผนยุทธศาสตร์ไปทำให้เกิดผลสำเร็จ
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า กทม. มีตัวเลขที่น่าสนใจ ได้แก่ 1 และ 98 โดยกรุงเทพมหานครเป็นอันดับ 1 ของเมืองน่าเที่ยวที่สุดในโลกหลายปีซ้อน แต่เป็นเมืองน่าอยู่อันดับที่ 98 จาก 140 เมืองทั่วโลก (จากดัชนีชี้วัดเมืองน่าอยู่ หรือ The Global Liveability Index ของ Economist Intelligence Unit หรือ EIU) จึงเป็นแนวคิดในการทำนโยบายโดยมีเป้าหมายให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ซึ่งการกำหนดนโยบายสมัยก่อนเป็นอนาล็อกพิมพ์นโยบายลงกระดาษ อาจมีเพียง 4-5 นโยบาย ตอบโจทย์คนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง แต่จะเห็นได้ว่าปัจจุบันดิจิทัลแพลตฟอร์มทำให้เราสามารถมีกี่นโยบายก็ได้ สามารถแตกนโยบายออกมาโดยละเอียด และตอบโจทย์คนเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น ครอบคลุมทุกกลุ่มได้มากขึ้น เช่น นโยบายแจกผ้าอนามัยในโรงเรียน นโยบายกลุ่มหลากหลายทางเพศ ซึ่งหากมองในแง่ธุรกิจก็เหมือนกัน ต่อไปจะต้องมีผลิตภัณฑ์ (Product) ที่ตอบสนอง Niche Market ด้วย
ต่อมาได้เปรียบเทียบว่า กทม. เหมือนร่างกายคน มีเส้นเลือดใหญ่ กับเส้นเลือดฝอย โดยเส้นเลือดใหญ่ หมายถึง โครงการ (Project) ส่วนเส้นเลือดฝอย หมายถึง เรื่องทั่ว ๆ ไป แม้เส้นเลือดใหญ่เราจะแข็งแกร่ง แต่เส้นเลือดฝอยก็สำคัญไม่แพ้กัน ฉะนั้นหัวใจของ กทม. คือการ Balance (สมดุล) กันระหว่างเส้นเลือดใหญ่กับเส้นเลือดฝอยในทุกระบบ ยกตัวอย่างเช่น เรื่องน้ำท่วม ซึ่งหลายคนจะนึกถึงอุโมงค์ยักษ์ว่าจะช่วยในการระบายได้น้ำได้รวดเร็ว แต่แท้จริงแล้วหากท่อระบายน้ำตัน เส้นเลือดฝอยตีบ น้ำจะไปสู่อุโมงค์ยักษ์ไม่ได้ นี่เหตุผลว่าทำไมต้องมีการลอกท่อ ทำไมต้องดูแลและให้ความสำคัญตั้งแต่เส้นเลือดฝอย
ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวอีกว่า หน้าที่ กทม. มี 3 ข้อ คือ 1. การเพิ่มประสิทธิภาพของเมือง ปรับการให้บริการต่าง ๆ ให้มีความรวดเร็ว พัฒนาระบบติดตามการขออนุญาต ปรับการทำงานต่าง ๆ ให้เป็นระบบ one stop service 2. การพัฒนาคุณภาพชีวิต โดยเมืองคือตลาดงาน (Job Market) และอนาคตเมืองแข่งกันที่เมืองไหนดึงดูดคนเก่งได้ เพราะคนเก่งนั้นมีทางเลือก และคนเก่งจะอยู่ในเมืองที่คุณภาพชีวิตดี มีงานดี ๆ ถ้าไม่มีงาน ไม่มีคนเก่ง เมืองก็จะอยู่ไม่ได้ และ 3. เกลี่ยความไม่เท่าเทียม ให้มีความเท่าเทียมกัน โดยนำแพลตฟอร์มเข้ามาใช้ ยกตัวอย่างเช่น การใช้ Traffy Fondue รับฟังปัญหาจากประชาชน ซึ่งเป็นการลดโอกาสในการคอร์รัปชัน ตัดระบบท่อ pipe line ป้องกันระบบเส้นสายที่ใครสนิทกับเจ้าหน้าที่จะได้รับการแก้ไขก่อน เพราะบนแพลตฟอร์มทุกคนเท่าเทียมกัน ซึ่งขณะนี้ กรุงเทพมหานครได้ร่วมมือกับตำรวจ โดยทุกสถานีตำรวจได้เข้าสู่ระบบ Traffy Fondue แล้ว และกว่า 8,000 เรื่องร้องเรียนที่อยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจ กทม.ได้ดำเนินการส่งต่อเรื่องเรียบร้อยแล้ว จึงนับได้ว่า Traffy Fondue ทำให้เกิดการทำงานแบบไร้รอยต่อ (seamless) ทั้งการประสานงานภายในและภายนอก
นอกจากนี้ ผู้ว่าฯ กทม. ยังได้กล่าวถึงเรื่องอื่น ๆ อีก อาทิ เรื่อง open data ซึ่งกทม.มุ่งให้เกิดความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ทุกคนมาตรวจสอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ได้ เรื่อง ผู้ว่าฯ สัญจร ซึ่งทำให้กทม.ได้ทราบปัญหาจากประชาชนอย่างแท้จริง เรื่อง การพัฒนาคุณภาพชีวิต การแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ การพัฒนาด้านการเดินทาง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว ปลูกต้นไม้ล้านต้น ซึ่งปัจจุบันมีผู้แสดงความจำนงร่วมปลูกต้นไม้กว่า 1.6 ล้านต้น การสนับสนุนพื้นที่สาธารณะ ดนตรีในสวน หนังกลางแปลง เป็นต้น หลักในการทำงานของ กทม. คือการหาความร่วมมือ เป็นผู้สนับสนุนในด้านต่าง ๆ หากใครมาพูดว่า "ฝากกทม.ด้วยนะ" ก็จะไม่รับฝาก เพราะทุกคนต้องร่วมมือกัน ทั้งหมดต้องเดินไปด้วยกัน ต้องช่วยกันเพื่อทำ กทม.ให้เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน