"สุวัจน์" เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจ ไทยช่วยไทยสร้างกำลังซื้อภายในประเทศ มั่นใจเศรษฐกิจยุคทองโคราชกลับมา เมื่อรถไฟความเร็วสูง และมอเตอร์เวย์เสร็จ
เมื่อวันที่ 5 ส.ค.65 ที่เอ็มซีซีฮอลล์ช้ัน 3 ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ โคราช นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 16 “Money Expo Korat 2022” โดยมีนายภูมิสิทธิ์ วังคีรี รอง ผวจ.นครราชสีมา นายสันติ วิริยะรังสรรค์ ประธานจัดงานมหกรรมการเงิน Money Expo นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล ผอ.ศูนย์ตนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน นายประเสริฐ บุญชัยสุข นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา พร้อมภาคเอกชนจำนวนมาก
นายสุวัจน์ กล่าวว่า การจัดงานมหกรรมการเงินโคราช ครั้งที่ 16 “Money Expo Korat 2022” ภายใต้แนวคิด “Wealth to Wellness” ต้องขอบคุณที่ได้มาช่วยดูแลเศรษฐกิจและกระตุ้นเศรษฐกิจ และนำความรู้และสินเชื่อความรู้และสภาพคล่องต่างๆ มาช่วยนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ SME และชาวเกษตรกร สืบเนื่องแล้ว 15 ปี และปีนี้เป็นปีที่ 16 ไม่เฉพาะชาวโคราช แต่มีพี่น้องประชาชนในจังหวัดใกล้เคียงก็มาเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจ และปีนี้ถือว่าเป็นปีที่มีความสำคัญ เป็นปีของ Wealth to Wellness ซึ่งมีความผันผวน ทางด้านเศรษฐกิจของโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน เหมือน Perfect Storm พายุลูกใหญ่ๆ เศรษฐกิจโลกเข้ามาแล้วมากระทบต่อประเทศไทยรุนแรงมาก เราจะต้องติดตามผลกระทบกัน 2 ปีกว่า เราคิดว่าลองโควิดจะ 5-6 เดือนนี้ก็ลาก 2 ปีครึ่งตอนนี้ก็ยังไม่จบทำให้เกิดการใช้จ่ายของประเทศทั่วโลก เพื่อที่จะมาต่อสู้โควิด เพื่อมีการใช้จ่ายเยอะก็มีการกู้เงิน และมีมาตรการต่างๆ เพื่อให้มีสภาพคล่อง ก็ได้มีการกู้เงินมาก ก็เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อ (demand-pull inflation) ใช้จ่ายเงินเยอะ กู้เงินกันเยอะ ทั่วโลก บางประเทศ 100% ของ GDP แต่ประเทศไทยเรา 60 % ของ GDP เพื่อที่จะเอาโควิดให้อยู่ และไม่ใช้เงินเฟ้อจากโควิดอย่างเดียวที่เผชิญ มีเงินเฟ้อจากสงครามยูเครน - รัสเชีย ที่ทำให้เกิดปัญหาพลังงาน ทำให้แก๊ซ น้ำมัน ราคาพลังงานสูงขึ้นมาก และผลผลิตทางด้านการเกษตรอาหาร อย่างข้าวบาเลย์ ข้าวโอ๊ต กว่า 30% ของโลกต้องหยุด หรือพวกโพธิ์แทส ที่ผลิต 60% ของโลกที่มาทำปุ๋ย ก็เลยทำให้ปุ๋ย ราคาแพง อย่างข้าวโพด ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผลกระทบเรื่องอาหารแพง ก็ตามมาอีก และห่วงโซ่ของการผลิตก็ตามมาอีก ปัญหาต่างๆเลยทำให้เกิดเงินเฟ้อ สินค้าราคาแพง หรือเรียกว่า cost-push inflation ก็เลยทำให้เกิดเงินเฟ้อที่รุนแรงขนาดนี้ อย่างสหรัฐอเมริกา ตอนนี้เกิดเงินเฟ้อ 9 % กว่าในรอบ 40 ปีของสหรัฐอเมริกา ยุโรปก็เกือบกว่า 8 % ตั้งแต่มีเงินยูโร ประเทศไทยตอนนี้ก็ประมาณ 7.6% โลกทั้งโลกตอนนี้ประมาณ 8% แล้วยังมาเจอดอกเบี้ยแพงอีก ก็เป็นเรื่องปกติ เป็นการแก้ไขเงินเฟ้อ ในนโยบายการขึ้นดอกเบี้ย เพื่อดึงเงินกลับ ก็ทำให้นักลงทุนดึงการลงทุน ไปลงทุนที่เงินดอลลาร์ ซึ่งค่อนข้างที่จะปลอดภัยเป็นเงินที่ใช้กับการค้ามากว่า 40-50% และมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 60% เมื่อมีภาวะดอกเบี้ยแพงก็มีการย้ายการลงทุนไปที่เงินดอลลาร์ ซึ่งจะเห็นว่าเงินดอลลาร์จะเข็งมาก และตอนนี้ดอลลาร์ 1 เท่ากับ 36 บาท ก็ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจ ถดถอยบางประเทศเล็กๆ มีปัญหาล่มละลาย GDP แต่ละประเทศ ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อย่างสหรัฐอเมริกา GDP ถดถอยมาแล้ว 2 ไตรมาส วันนี้โลกอยู่ในภาวะที่ไม่ดี และตอนนี้ก็ยังห่วงเรื่องสถานการณ์ไตหวันกับจีน ไม่รู้ว่าจะเป็น storm พายุทางเศรษฐกิจอีก 1 ลูกหรือเปล่า ที่จะมาทำให้เกิดภาวะไม่แน่นอนหรือเปล่ากับเศรษฐกิจของโลก
นายสุวัจน์ ย้ำว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก เมื่อะไรเกิดขึ้นกับโลกก็เกิดกับไทย เราจะได้รับผลกระทบอย่างมากแน่นอน เราต้องดึงเงินมาใช้จ่ายเยอะ ตอนนี้ก็ 60% ของ GDP และหนี้ครัวเรือนก็ค่อยข้างจะสูง GDP ปีนี้อาจจะประมาณ 3% หรืออาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย โควิด 2 ปีก่อน GDP ติดลบ 6% ปีที่แล้วบวก 1.5 % ปีนี้ก็ขยับมาหน่อยค่าเฉลี่ยเราก็ยังขาดทุนอยู่ งบประมาณแต่ละปี 3 ล้านล้าน ก็ต้องกู้เงินมาปิดประมาณ 7-8 แสนล้านบาท ทุกปีเงินที่เหลือจากเงินงบประมาณเหลือเพียง 20% ที่มาก่อสร้างและพัฒนาเรื่องต่างๆ ซึ่งเราก็อยู่ในสภาวะที่ยากลำบากโดยเฉพาะภาคเอกชน ผู้ประกอบการ เป็นสิ่งที่น่าเห็นใจมากยิ่งสถานการณ์เราหวังการลงทุน ค่อนข้างจะลำบาก ความผันผวนเรื่องเงินเฟ้อ ค่าเงิน คิดว่าเป็นการทำให้นักลงทุนกังวลมาก การส่งออกอาจจะใช่ เพราะค่าเงินทำให้เราได้เปรียบ การท่องเที่ยวแน่นอน เป็นจุดแข็ง เพราะเขาไม่ต้องการความเชื่อมั่นมากนัก เพราะมาระยะสั้น ถ้าผมมาปลอดภัย การท่องเที่ยวก็ยังเป็นเศรษฐกิจหลักกับการส่งออกที่จะเป็นไม้ค้ำยันให้กับเศรษฐกิจประเทศ แต่ตอนนี้การท่องเที่ยวก็ยังไม่ปกติ เปิดประเทศมาได้ 2 เดือน ตัวเลขนักท่องเที่ยว ประมาณ 2 ล้านคน ของครึ่งปี อีก 6 เดือนที่เหลือ ถ้าเดือนละ 1 ล้านคน อีก 8 ล้าน ซึ่งเป็น 20% ของ 40 ล้าน ภาวะต่างๆยังไม่เป็นใจ ซึ่งต้องเห็นใจ ผู้ประกอบการ และกลุ่ม SME พ่อค้า แม่ค้า โอทอป รากหญ้า เพราะเจอทั้งเรื่องของแพง ต้นทุน ห่วงโซ่ต่างๆ อย่างวันนี้ มีงาน Money Expro เราต้องกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน คนไทยช่วยคนไทย ไทยทำไทยใช้ไทยเจริญ ลงทุนในประเทศไทย Made in Thailand เพื่อสร้างกำลังซื้อภายในประเทศทดแทนจากต่างประเทศ เศรษฐกิจเราจะได้ประครองตัวได้ เราต้องช่วยกัน ไทยช่วยไทย เพื่อรอเวลา เพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอด
“เราต้องช่วยโดยตรง ผู้ประกอบการ SME เพราะเป็นพื้นฐานของอุตสาหกรรมใหญ่ เช่น ถ้าไม่ดูแลผู้ประกอบการ กลุ่มผู้ประกอบการ เค้าไม่อยู่แล้ว ถ้านักท่องเที่ยวมาแล้วไม่มีโรงแรม ที่พัก ร้านค้า สินค้าโอทอป ไม่อยู่ จะทำอย่างไร ต้องช่วยให้เค้าอยู่ได้ เพื่อรอเวลานักท่องเที่ยวเข้ามา เรามีความพร้อม เพื่อรองรับ นักท่องเที่ยว ทันที จุดที่จะส่งเสริมให้เกิดเศรษฐกิจรุ่งเรืองยุคทองของโคราชอีกครั้ง คือ เมื่อไรที่มีการเปิดมอเตอร์เวย์กทม.-โคราช และเปิดรถไฟความเร็วสูง อย่างเช่น ในยุคท่านพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัญ มีการสร้างถนน 4 เลน จาก 2 เลน นำเศรษฐกิจมากมายมาสู่โคราช ทำให้โคราชเป็นประตูสู่อีสาน และทำให้อีสานประตูสู่อินโดจีน ฉะนั้น หลังจากเปิดมอเตอร์เวย์ กทม-โคราช การเดินทางใช้เวลาประมาณ 1 ชม.45 นาทีถึงโคราช และ 1 ชม.ถึงเขาใหญ่ มรดกโลก ถ้ารถไฟความเร็วสูงเปิดเมื่อไร 1 ชม. 10 นาทีถึงโคราช จังหวัดใหญ่แห่งที่ 2 ของประเทศ ซึ่งมีประชากร 2.5 ล้าน มีฐานทรัพยากรทางเกษตร ทางด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีฐานที่เข้มแข็งมาก ซึ่งมี 3 ฐาน เป็นจังหวัดที่มีมรดกโลกเขาใหญ่ ที่ได้รับการรับรองยูเนสโก และ 2 มีแหล่งพื้นที่สงวนชีวะมณฑล ได้รับการรับรองจากยูเนสโก ให้เป็นแหล่งของความอุดมสมบูรณ์ของป่าของพันธ์ไม้ และ 3 โคราชถ้าได้การรับรองจากยูเนสโก มาตรวจโคราชกำลังจะยกฐานะให้เป็นอุทยานธรณีโลก เป็น World Geo Park เป็น ยูเนสโก จีโอพาร์ค ซึ่งตอนนี้พื้นที่ 5 อำเภอของโคราช คือ อ.สูงเนิน อ.ขามทะเล อ.พิมาย อ.เฉลิมพระเกียรติ อ.สีคิ้ว ถ้าขุดไปใต้ดินจะเจอแหล่ง ฟอสซิว อย่างมหาศาล เจอซากไดโนเสาร์ เจอซากช้างโบราณ เต่าโบราณ และเจอความอุดมสมบูรณ์ เดือนกันยายนนี้ ยูเนสโก จะประกาศผลถ้าโคราช Korat Geo Park ได้รับการยกฐานะ ให้เป็น ยูเนสโก จีโอพาร์ค โคราชจะเป็นจังหวัดที่ 3 ในโลก มีแค่ 3 ประเทศ ซึ่งมี เกาหลี อิตาลี และโคราช ที่จะมี 3 มงกุฎ ซึ่ง มงกุฎแรก คือ เขาใหญ่ มรดกโลก , พื้นที่สงวนชีวมณฑล สแกราช ที่ปักธงชัย , และมงกุฎที่ 3 คือ อุทยานธรณีโลก ใน 5 อำเภอ โคราชจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม แบบคลาสิค ไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวแบบช้อปปิ้ง แต่เป็นการท่องเที่ยวแบบ วัฒนธรรม โบราณคดี ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเป็นการรองรับการลงทุนของภาครัฐ เช่น การลงทุนรถไฟความเร็วสูง ถนนมอเตอร์เวย์ ไม่เสียเปล่า จะเป็นการลงทุนไว้ล่วงหน้าเพื่อรองรับ พื้นฐานการท่องเที่ยวของประเทศ และพื้นฐานการลงทุน” นายสุวัจน์ กล่าว