ที่ประชุมรัฐสภาเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 494 ต่อ 40 งดออกเสียง 4 เสียง
เมื่อเวลา 10.03 น. วันที่ 5 ก.ค. 65 ที่รัฐสภา มีการประชุมร่วมรัฐสภา ที่มีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุใ เพื่อพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.... ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญของรัฐสภาพิจารณาแล้วเสร็จ ต่อเนื่องเป็นครั้งที่เจ็ด ซึ่งเหลืออีก 4 มาตราจะพิจารณาเนื้อหาเป็นรายมาตราในวาระสองแล้วเสร็จ โดยเป็นการพิจารณา มาตรา 169/1 ต่อจากเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานคณะกมธ. ชี้แจงว่า สืบเนื่องจาก พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผบ.ตร. ในฐานะ กมธ. ได้เสนอเพิ่มข้อความใหม่โดยมีเนื้อที่เกี่ยวข้องกับระยะเวลา เพื่อทำให้การคัดเลือกและแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในปัจจุบันให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งสมาชิกในที่ประชุมได้ทักท้วงว่ากระบวนการตรากฎหมายอาจไม่ถูกต้องและผิดข้อบังคับ จนต้องสั่งพักการประชุมไปเมื่อคราวที่แล้ว เพื่อให้ทางคณะกมธ.ได้นำกลับไปทบทวนและหารือ บัดนี้ ทางคณะกมธ. มีมติเห็นว่าควรแก้ไขมาตรา 169/1 ใหม่ตามที่พล.ต.อ.ปิยะ เสนอไว้
นายอดิศร เพียงเกษ กมธ. อภิปรายว่า ก่อนที่จะถึงช่วงของการแต่งตั้งโยกย้าย ทาง สตช.ต้องรู้ร้อนรู้หนาวตั้งแต่เดือนก.พ.แล้วว่าร่างกฎหมายตำรวจจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แล้วจะมาชักร่างกฎหมายเข้าออกแบบนี้ให้เปลืองค่าประชุม กมธ.ทำไม เราแก้ไขกฎหมายเพราะไม่ต้องการให้เกิดตั๋วที่ใหญ่กว่าม้า และเราต้องการให้เกิดการแต่งตั้งที่มีความยุติธรรม เมื่อ 169/1 ไม่มีตำหนิ แล้วจะมาแก้ไขทำไม ตนถามว่าสภาแห่งนี้เป็นเครื่องมือของใครหรือไม่ จะถอนไปเพราะคนใดคนหนึ่งอยู่เบื้องหลัง ก็จะไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ
ด้าน นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า มาตรา 169/1 ต้องบอกว่าเป็นมาตราที่เดิมจะต้องอ่านคู่กับมาตรา 69 ซึ่งมาตรา 169/1 สาระสำคัญคือการเขียนล็อกเอาไว้เลยว่าตำแหน่งต่างๆนั้นจะต้องเป็นกี่ปี โดยวางกรอบระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี นับแต่พ.ร.บ.นี้ประกาศใช้ ประเด็นสำคัญคือกมธ.ฯ รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทราบอยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์ในการโยกย้ายตำแหน่ง คุณสมบัติการดำรงตำแหน่งต่างๆนั้น มีลักษณะประมาณใด ท่านรู้อยู่แล้วว่ากฎเกณฑ์กำลังจะเปลี่ยนไป แต่สิ่งที่กมธ.ฯทำคือทำโผตำรวจ ในลักษณะที่ต่างกัน โดยไม่ได้คำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้น ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีปัญหา เราพิจารณากฎหมายฉบับนี้ได้ด้วยดี หลายเรื่องตนและพรรคก้าวไกล ไม่เห็นด้วยเลย แต่ก็ดีใจอยู่บ้างที่ในมาตรา 69 สุดท้ายมีการกำหนดปีเอาไว้อย่างชัดเจน อย่างน้อยที่สุดอาจจะป้องกัน คนที่จะได้รับประเภท”ตั๋วช้าง” เข้ามาดำรงตำแหน่งข้ามหัวคนอื่นได้
นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า เมื่อพิจารณามาถึงตรงนี้อยู่ๆก็เสนอกัน ซึ่งการเสนอแบบนี้ ตนคิดว่าเป็นการเสนอที่ผิด ถ้าเรายืนยันว่า ทำกันแบบนี้ได้ ต่อไปนี้กฎหมายทุกฉบับก็เปลี่ยนกันหน้างานได้ ทั้งที่ในความเป็นจริง มาตรา 169/1 เราควรตัดทิ้งด้วยซ้ำไป เพราะมาตรา 69 ล็อกไว้อย่างชัดเจนว่าปีของการดำรงตำแหน่งต้องเป็นเท่าไหร่ เช่น คนที่จะขึ้นเป็นรองผบ.ตร.จะต้องเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.มาแล้ว 1 ปี คนที่จะขึ้นเป็นผู้ช่วยผบ.ตร. จะต้อเป็นผู้บัญชาการ มาแล้ว 1 ปี อันนี้คือสิ่งที่เขียนล็อกเอาไว้ ซึ่งจะแตกต่างจากกฎ กตร.เดิม ในลักษณะที่สามารถยกเว้นได้ ถงแม้เนื้อหาสาระจะเขียนเหมือนกัน แต่กฎกตร.สามารถยกเว้นหลักเกณฑ์ตรงนี้ได้ และสิ่งที่แตกต่างจากเดิมคือคนที่ขึ้นขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.และรองผบ.ตร.จะต้องมีอาวุโส 100 เปอร์เซนต์ หมายความว่าตำแหน่งว่างเท่าไหร่ก็คัดจากคนที่อาวุโสเท่านั้น ซึ่งจะไม่มีกรณีข้ามหัวคนอื่นเกิดขึ้น
“สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีปัญหามาโดยตลอด และนำไปสู่การมี ตั๋วช้างและตั๋วตำรวจต่างๆมากมาย ผมได้อภิปรายไปแล้วว่ามีตำรวจ 2 พันกว่าคน ที่ได้รับตั๋วและบางส่วนได้รับตั๋วช้าง สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนไม่กี่คนที่ถูกข้ามหัว แต่ทำให้ความเชื่อต่อระบบคุณธรรมของวงการตำรวจพังทลายลง และวิธีการแบบนี้ไม่ได้กระทบกับตำรวจที่อยู่ในตำแหน่ง แต่กระทบกับครอบครัวของเขา ซึ่งอาจจะเกี่ยวพันกับคนนับล้าน วันนี้ผมเชื่อว่าคนที่นั่งอยู่ในแห่งนี้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เรากำลังจะอนุมัติให้เกิดตั๋วช้างอีกรอบ ท่านกมธ.โดยเฉพาะท่านที่มาจาก สตช.ท่านรู้ดีว่ากำลังช่วยใคร สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่แค่การวางตัวคนที่จะไปเป็นรองผบ.ตร.เท่านั้น แต่ผมได้ยินมาว่าลำดับท้ายๆ กำลังจะได้รับสิทธิในการข้ามหัวคนอื่น ขึ้นมาเป็นรองผบ.ตร. แล้วปีถัดไปก็จะเป็น ผบ.ตร. และเหตุผลที่กมธ.ฯต้องขอ180 วันในการชะลอกฎหมายที่กำลังจะผ่านสภาฯออกไปก็เพื่อที่จะได้วางไข่ วางทายาทอสูร ตั้งแต่รองผบ.ตร.ไปจนถึงตำรวจระดับชั้นที่น้อยที่สุด ซึ่งก็คือช่วงเดือนเมษายน มากไปกว่านั้นท่านอ้างถึงการโยกย้ายที่ไม่เป็นธรรมที่เขาอาจจะได้กลับมา เอาคนที่เสียหายจากการตัดสินใจของท่านมาเป็นเงื่อนไข ในการที่จะให้ตั๋วตำรวจกับแค่บางคน ซึ่งความจริงแค่ใช้กฎกตร.กับมาตรา 170 ก็ช่วยตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เนื้อหาแบบที่กมธ.เพิ่งเสนอปรับแก้ใหม่เลย พูดกันตรงๆ พูดด้วยความจริงท่านก็แค่ใช้โอกาสนี้ช่วยตำรวจบางคนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สภาฯกำลังยอมให้เกิดระบบตั๋วเกิดขึ้นในวงการตำรวจ เป็นระบบที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องหยุดยั้งระบบแบบนี้ จะปล่อยให้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว ตั๋วนก ตั๋วต่อ ตั๋วโต้ง ตั๋วอะไรก็แล้วแต่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปไม่ได้” นายรังสิมันต์ กล่าว
พ.ต.ต.ชวลิต เลาหอุดมพันธ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ระหว่างที่คณะกมธ.พิจารณาร่างพ.ร.บ.นี้ ทางตำรวจได้ทำข้อท้วงติงมาหลายเรื่อง แต่ตนไม่เห็นด้วย และเห็นว่าเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตำรวจทั้งประเทศกำลังจับตามองบุคคลเจ้าประจำ ที่ได้ตั๋วช้างช่วยมาตลอด เช่น ผู้บัญชาการสอบสวนกลางคนปัจจุบัน และผู้ช่วยผบ.ตร.คนหนึ่งในขณะนี้ ซึ่งเขาจะครบเกณฑ์หนึ่งปีที่สามารถเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นได้
พ.ต.ต.ชวลิต กล่าวต่อว่า การขึ้นตำแหน่งรองผบ.ตร. และผู้ช่วยผบ.ตร. ถ้าเทียบเกณฑ์เก่ากับกฎหมายใหม่จะเหมือนกัน ไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ถ้าไปดูในมาตรา 74 จะเห็นว่าการเลื่อนต้องเป็นไปตามเรียงคิว ตามหลักอาวุโส 100 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสองคนข้างต้นกล่าวถึง ขณะนี้อยู่ในลำดับอาวุโสท้ายแถว เพราะเขาใช้ตั๋วช้างยกเว้นหลักเกณฑ์มาหลายรอบ ถ้าบังคับใช้กฎหมายใหม่ในรอบนี้ lv’คนจะไม่ได้เลื่อนขึ้นแน่นอน แต่ถ้าเลื่อนออกไปอีก 180 วัน ตามที่คณะกมธ.แก้ไข สองคนดังกล่าวจะสามารถเลื่อนขึ้นได้ ดังนั้น ถ้าที่ประชุมรัฐสภามีมติผ่านเรื่องนี้ ผู้ช่วยผบ.ตร.ตั๋วช้างคนดังกล่าว ปีนี้จะได้เป็นรองผบ.ตร. และในปีหน้าก็จะสามารถขึ้นเป็นผบ.ตร.ได้ ถามว่าเขาจะเป็นผู้นำองค์กรที่ตำรวจทั้งประเทศยอมรับได้อย่างไร จึงขอเสนอให้สมาชิกลงมติไม่เห็นด้วยกับที่กมธ.ขอแก้ไขในมาตรา 169/1
นายสมชาย แสวงการ ส.ว. ในฐานะรองประธานกมธ. ชี้แจงว่า ตนไม่มีญาติเป็นตำรวจ ดังนั้น การที่บอกว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่นคนได้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว หรือตั๋วอะไร ตนไม่ได้สนใจอะไร เพราะมีทั้งคนได้และคนเสียพอกัน แต่สภาต้องออกกฎหมายแล้วต้องใช้ได้ อย่างไรก็ตาม มีตำรวจมาข้อร้องว่าเกิดปัญหาตำรวจสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ย้ายกลับลำบากถ้ากฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ทันที ดังนั้น สภาฯจะใจจืดใจดำไม่ให้หรือ เพียงแค่ 180 วัน
จากนั้นเวลา 12.55 น. ที่ประชุมลงมติ ผลปรากฏว่าเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย 344 ต่อ 181 งดออกเสียง 50 ไม่ออกเสียง 1 เสียง เป็นอันว่าที่ประชุมเห็นด้วยกับ กมธ. เพิ่มข้อความขึ้นใหม่ ในมาตรา 169/1
ต่อมาเวลา 13.33 น. ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ลงมติในวาระที่ 3 เห็นชอบร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ... ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 494 เสียง ไม่เห็นด้วย 40 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง และเห็นชอบกับข้อสังเกตของ กมธ. ก่อนที่จะส่งร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวให้ ครม. ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ... ถือเป็นกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปประเทศฉบับแรกที่รัฐสภาเห็นชอบโดยใช้การประชุมต่อเนื่องยาวนานที่สุด ถึง 7 ครั้ง ขณะเดียวกันยังเป็นร่างกฎหมายที่ใช้เวลาพิจารณาในชั้นกรรมาธิการฯ นานถึง 1 ปี 5 เดือน นับตั้งแต่ที่รัฐสภา ลงมติรับหลักการ เมื่อวันที่ 24 ก.พ.64 นอกจากนี้ ยังมี กมธ.ที่ทำหน้าที่พิจารณาในวาระสองนั้น ต้องออกจากตำแหน่งไปถึง 2 คน ได้แก่ นายสิระ เจนจาคะ อดีต ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ และนายวิเชียร ชวลิต อดีตส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ขณะที่นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่ทำหน้าที่ประธาน กมธ. ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่