"สนธิรัตน์"เสนอปรับลดราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน (มีคลิป)

2022-06-17 15:47:50

"สนธิรัตน์"เสนอปรับลดราคาหน้าโรงกลั่นน้ำมัน (มีคลิป)

Advertisement

"สนธิรัตน์"เสนอปรับลดราคาหน้าโรงกลั่น แก้วิกฤตน้ำมันแพง

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. ที่ทำการพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย อดีต รมว.พลังงาน นายสันติ กีระนันทน์ กรรมการบริหารพรรค แถลงข่าวถึงมาตรการการแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง เพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพประชาชน และการเติบโตของเศรษฐกิจ ในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีความผันผวนในระดับสูงจากผลกระทบสงครามรัสเซีย-ยูเครน

นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า พรรคสร้างอนาคตไทยมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ราคาน้ำแพง ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในขณะนี้ ซึ่งตนในฐานะอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานมองว่ายังมีแนวทางที่สามารถบริหารต้นทุนราคาน้ำมันให้ถูกลงเพื่อลดผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนได้ โดยได้เคยทำมาแล้วสมัยตนเป็น รัฐมนตรีฯ แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวจำเป็นต้องมีทั้งมาตรการแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วนและการแก้ปัญหาเชิงรุกในระยะยาวให้ครอบคลุม สำหรับมาตรการระยะเร่งด่วนที่สามารถทำได้และต้องทำทันที คือ การลดราคาหน้าโรงกลั่น ลงโดยทบทวนการอ้างอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์ชั่วคราว ด้วยการหักค่า FIL ได้แก่ ค่าขนส่ง ประกันภัย และค่าความสูญเสีย ออกในช่วงที่เกิดภาวะวิกฤตเช่นนี้

"มาตรการที่เสนอมานี้สามารถทำได้และต้องทำทันที ในช่วงที่ประชาชนลำบาก การงดการอ้างอิงชั่วคราวถือเป็นการลดต้นทุนแฝงในราคาน้ำมันได้ โดยรัฐต้องเป็นเจ้าภาพในการเข้าไปดูแลและหารือกับกลุ่มผู้ประกอบการโรงกลั่น เพื่อหาจุดตรงกลางที่สามารถเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขร่วมกันได้ ที่สำคัญรัฐไม่ควรปล่อยให้ราคาน้ำมันดีเซลเกินเพดานที่สูงเกินไปเพราะจะทำให้ราคาสินค้าต่างๆ ขยับขึ้นตามค่าขนส่ง กระทบค่าครองชีพประชาชน ขณะเดียวกันก็ยังกระทบไปถึงต้นทุนและการเติบโตเศรษฐกิจของประเทศ เหมือนวิกฤตซ้ำวิกฤตอีกด้วย"เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าว

นายสนธิรัตน์ ได้เสนอแนวทางการแก้ปัญหาเชิงรุกระยะยาว 3 แนวทางสำคัญ คือ1. การพิจารณาเพดานค่าการกลั่นให้มีความเป็นธรรมทั้งต่อประชาชนผู้บริโภคและผู้ประกอบการโรงกลั่น โดยพิจารณาในส่วนของค่าพรีเมี่ยมและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ยืดหยุ่นได้ ซึ่งตรงนี้รัฐต้องเป็นเจ้าภาพเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน 2.การหาแหล่งพลังงานราคาถูกในต่างประเทศเพิ่มเติม และ 3.การสร้างยุทธศาสตร์พลังงานระยะยาว 2 แนวทาง คือ 1. การวางแผนการสำรองน้ำมันในภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นแผนที่ใช้รองรับช่วงที่เกิดวิกฤต โดยสามารถดำเนินการในช่วงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีราคาถูกลง เพื่อสำรองใช้เมื่อเกิดวิกฤต นอกเหนือจากการใช้เพียงกลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันเพียงอย่างเดียว 2. การหันมาใช้ภาษีคาร์บอน ที่สามารถนำมาปรับใช้ร่วมกับภาษีสรรพสามิต เพื่อนำเงินภาษีนี้มาใช้ส่งเสริมการลงทุนในพลังงานทางเลือก ซึ่งพรรคมีนโยบายการส่งเสริมการใช้ พลังงานแสงอาทิตย์ทั่วประเทศ ซึ่งจะลดการพึ่งพิงพลังงานจากปีโตรเลียมลง

ด้านนายสันติ กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมากลุ่มผู้ประกอบการโรงกลั่นน้ำมัน มีกำไรที่ไต่ระดับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเทียบตัวเลขย้อนหลัง 5 ปี พบว่ามีกำไรมหาศาล และคาดการณ์จากผลประกอบการในไตรมาสแรกของปี 2565 มีแนวโน้มที่จะเห็น กลุ่มโรงกลั่นจะมีกำไรพุ่งขึ้นกว่า 28 เปอร์เซ็นต์ หากคิดเป็นผลประกอบการเต็มปี นอกจากนั้น โรงกลั่นใหญ่ 3 โรง ซึ่งเป็นผู้นำตลาด ล้วนแล้วแต่มี ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นแต่ละบริษัทไม่น้อยกว่า 45 เปอร์เซ็นต์ของหุ้นทั้งหมด และ ปตท. เอง ก็มีกระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น 51.11 เปอร์เซ็นต์ และยังมีกองทุนรวมวายุภักษ์ถือหุ้นอีก 12.16 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงกลั่น ก็คือรัฐนั่นเอง เชื่อว่ารัฐสามารถมีมาตรการเพื่อให้บริษัทเหล่านั้นเปลี่ยนจากการมุ่งทำกำไรระยะสั้นลง แต่หันไปมองผลกำไรระยะยาว ตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืนแทน