กองปราบบุกจับ "สันติ" ฆ่าโหดผัวเมียและลูกในท้องรวม 3 ศพ

2022-06-17 13:55:33

กองปราบบุกจับ "สันติ" ฆ่าโหดผัวเมียและลูกในท้องรวม 3 ศพ

Advertisement

กองปราบบุกจับ "สันติ" ฆ่าโหด ผัวเมียและลูกในท้องรวม 3 ศพ หิ้วตัวบินด่วนเข้ากรุง ให้ ผบ.ตร.-ผบช.ก. สอบสวน ด้านเจ้าตัวยังให้การภาคเสธ

จากกรณีเจ้าหน้าที่สำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย และตำรวจไต้หวัน ขอความร่วมมือมายังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อขอให้ติดตามจับกุม นายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม 2 สามีภรรยา และลูกในท้องรวม 3 ศพ ทิ้งท้ายรถยนต์ ก่อนหลบหนีกลับมายังประเทศไทย ล่าสุด ศาลอาญาอนุมัติจับนายสันติ ในคดีฐานฆ่าผู้อื่นกระทั่ง โดยพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เปิดเผย นายสันติ ส่งตัวแทนติดต่อมาว่า จะเข้ามอบตัว ตามที่ได้เสนอมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 65  พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการให้ พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.ป.  พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป.  พ.ต.ท.รณกร สุขมงคล รอง ผกก.4 บก.ป. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.1 และ กก. 4 บก.ป. เดินทางไปยังที่ทำการหมวดมวลชนสัมพันธ์ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดน ที่ 335 ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เพื่อรับตัวนายสันติ ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จากคดีฆ่า 2 สามีภรรยาและลูกในท้องรวม 3 ราย ที่ไต้หวัน ที่กำลังอยู่ระหว่างการหลบหนี โดยมี นายสุชาติ ศุภอภิรดีไพลิน วัย 63 ปี พ่อของนายสันติ พร้อมกับบุคลอื่นๆ ในครอบครัวเป็นผู้พาเข้ามอบตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยมีรายงานว่าสามารถจับได้ที่บ้านอรุโณทัย อ.เชียงดาว

เบื้องต้น นายสันติ ให้การภาคเสธ ว่าไม่ได้เป็นฆ่า แต่ยอมรับว่าเป็นคนลวงผู้ตายไป ส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างนำตัวขึ้นเฮลิคอปเตอร์กับมาให้ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.จิรภพ สอบปากคำที่ บช.ก. อย่างละเอียดอีกครั้ง

จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายสันติ มาสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปราม กทม.

นายสันติ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ หรือ มี่ อายุ 35 ปี และนายประเสริฐ โนราษ อายุ 32 ปี ผู้ตายได้พาตนไปแนะนำให้รู้จักกับแก๊งมาเฟียไต้หวันกลุ่มหนึ่ง เพราะว่าตนจะเป็นคนดูแลประสานงานต่างๆ จึงอยากให้รู้จักกันไว้ จากนั้นไม่นาน ทราบว่าผู้ตายกับกลุ่มมาเฟียดังกล่าว เริ่มมีปัญหาทะเลาะขัดแย้งกัน เกี่ยวกับเรื่องหนี้สินที่ผู้ตายติดค้างเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งทางกลุ่มมาเฟียเคยทวงถามมาแล้วหลายครั้ง แต่ผู้ตายยังนิ่งเฉย กระทั่งเช้าวันที่ 8 มิ.ย. กลุ่มมาเฟียจึงส่งคนมาหาตนยังที่ทำงาน ก่อนบังคับให้ติดต่อล่อลวงผู้ตายทั้งสองมาพบยังจุดนัดหมายซึ่งเป็นสถานที่เกิดเหตุ

โดยให้ตนทำทีอ้างว่ามีธุระจะคุยด้วย ช่วงแรกนัดเจอกันประมาณ 19.00 น. แต่ตอนนั้นผู้ตายติดธุระ จึงเลื่อนมาพบตอนประมาณ 22.00 น. ซึ่งขณะนั้น กลุ่มมาเฟียได้ส่งชายฉกรรจ์สวมหมวกไอ้โม่งปิดบังใบหน้ามาเฝ้ารออยู่ด้วย 7 คน เมื่อผู้ตายมาถึง ชายฉกรรจ์ดังกล่าว 2 คน ก็พาตนกับผู้ตายทั้งสอง เข้าไปในห้อง ส่วนชายฉกรรจ์ที่เหลืออีก 5 คน พร้อมอาวุธปืนยืนคุมเชิงอยู่บริเวณหน้าห้อง

นายสันติ กล่าวอีกว่า หลังการเจรจาผ่านไปสักระยะ สถานการณ์ภายในห้องก็เริ่มตึงเครียดมากขึ้น ก่อนที่ชายฉกรรจ์ 2 คน ที่อยู่ในห้องจะเริ่มลงไม้ลงมือทำร้ายร่างกาย น.ส.พจนีย์ โดยใช้ของแข็งคล้ายท่อนเหล็กห่อด้วยกระดาษทุบตี น.ส.พจนีย์ จนล้มลง ขณะที่นายประเสริฐ เมื่อเห็นว่าภรรยาถูกทำร้ายจึงพยายามเข้าช่วย ก่อนถูกตีล้มลงไปกองกับพื้นอีกคน ระหว่างนั้นตนเห็นท่าไม่ดี จึงพยายามห้ามปรามจนถูกตีเข้าที่แขนได้รับบาดเจ็บด้วย ทั้งยังถูกข่มขู่ห้ามเข้ามายุ่ง ไม่อย่างนั้นจะถูกฆ่าตาย จากนั้นชายฉกรรจ์ทั้ง 2 จึงลงมือกระหน่ำตี น.ส.พจนีย์ กับนายประเสริฐไม่ยั้งมือจนเสียชีวิตในที่สุด

นายสันติ กล่าวต่อว่า หลังแน่ชัดแล้วว่า น.ส.พจนีย์ กับ นายประเสริฐ เสียชีวิต กลุ่มชายฉกรรจ์ได้ช่วยกันยกศพผู้ตายไปใส่ไว้ในรถแล้วบังคับให้ตนขับรถนำศพไปทิ้งตามแผนการที่วางไว้ เพื่อให้ตนเป็นแพะรับบาปในคดีนี้แทน หากไม่ทำตามจะถูกฆ่าและตามไปฆ่าแฟนสาวของตนให้ตายตาม ด้วยความหวาดกลัวจึงยอมทำตาม โดยขับรถวนไปมาบนทางด่วนอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจจอดรถที่มีศพอยู่ภายในทิ้งไว้ที่ลานจอดรถสถานีรถไฟฟ้าและเดินออกมาบริเวณที่โล่ง เพื่อให้กล้องวงจรปิดจับภาพของตนเองได้ชัดเพื่อความปลอดภัยของตนเอง เมื่อทิ้งศพเสร็จแล้ว ก็รีบจองตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับประเทศไทยในทันที ซึ่งเดิมทีมีแผนวางไว้ว่าจะกลับวันที่ 23 มิ.ย.นี้ แต่เกรงว่าหากยังอยู่ต่ออาจจะไม่ปลอดภัย โดยเมื่อพ้นอันตราย ก็รีบโทรศัพท์ไปบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เพื่อนฟัง พร้อมกับบอกสถานที่จุดทิ้งศพเพื่อให้ช่วยแจ้งตำรวจ

“ถึงตอนนี้ยังคงยืนยันว่า ไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุ ดีเอ็นเอ ลายนิ้วมือแฝง บนหลักฐานต่างๆ สามารถพิสูจน์ได้ แต่ยอมรับว่ารู้สึกผิดที่เป็นคนลวงให้ผู้ตายมาถูกฆ่า เพราะผมเองก็นับถือรักและเคารพผู้ตายดั่งผู้มีพระคุณเหมือนกับพี่สาวคนหนึ่ง ที่ผ่านมามีปัญหาอะไรเขาให้ความช่วยเหลือตลอด มีแค่ระยะหลังที่เริ่มห่างกันเพราะมารู้ว่าเขาทำธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ยาเสพติด เพราะเห็นว่าได้เงินเร็ว ซึ่งในส่วนนี้ ผมไม่ทราบมาก่อนเหมือนกันว่าผู้ตายไปพัวพันกับแก๊งยาเสพติดหรือมาเฟียเหล่านี้ได้อย่างไร รู้เพียงว่าสาเหตุที่ผู้ตายไปขัดแย้งกับมาเฟียกลุ่มนี้ มาจากหนี้สินที่ติดค้างเป็นเงินกว่า 10 ล้านบาทนั้นเอง ส่วนการที่ผมไม่กล้าแจ้งความเอง เพราะรู้ดีว่ามาเฟียกลุ่มนี้เป็นผู้มีอิทธิพล เกรงจะไม่ได้รับความปลอดภัย” นายสันติ กล่าว