"แอนนา"ยื่น 7.5 หมื่นประกันตัวสู้คดีหวยทิพย์ ยันเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์ ไม่ใช่ซีอีโอ
จากกรณีที่ "แอนนา" หรือ นายวรินทร วัตรสังข์ อายุ 37 ปี 1 ใน 3 คนที่ถูกตำรวจออกหมายจับในคดีหวยทิพย์ หลังทำหน้าที่โฆษณาชักชวนให้ “โชคดีลอตเตอรี่” แพลตฟอร์มออนไลน์ที่มีการนำสลากกินแบ่งรัฐบาลมาจำหน่ายในแพลตฟอร์มของตัวเอง โดยที่ไม่มีสลากตัวจริง โดยสลากดังกล่าวไปซ้ำกับสลากที่กองสลากพลัสจำหน่ายและมีตัวจริงอยู่ โดยที่นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ นอท ผู้บริหารเว็บไซต์กองสลากพลัส มาแจ้งความไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.65 ขณะที่แอนนาได้กลับจากต่างประเทศเดินทางมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองได้มารับตัวทันที พร้อมแสดงหมายจับของศาลอาญากรุงเทพใต้ ก่อนจะมีการนำตัวไปสอบสวนที่ สน.ทองหล่อ
ต่อมาเวลา 14.00 น. แอนนา พร้อมทนายความ ออกมาจากห้องสอบสวน กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหา ได้ปฏิเสธไป และใช้เงินสด 75,000 บาท ประกันตัวสู้คดี ยอมรับว่า ตนมีชื่อ 1 ใน 3 เป็นผู้จดทะเบียนบริษัทแพลตฟอร์ม “โชคดี ลอตเตอรี่ ออนไลน์” แต่ไม่ได้เป็นผู้บริหารที่มีอำนาจในการตัดสินใจหรือบริหารงานในบริษัท เป็นเพียงพรีเซ็นเตอร์ ที่ได้รับค่าจ้างเดือนละ 1 แสนบาท เริ่มงานตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย.-เม.ย.หลังเแตงโมเสียชีวิต ก็เลิกทำ เพราะเครียดต้องกินยานอนหลับวันละ 6 เม็ด จนจะป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว ซึ่งมีสัญญาเลิกจ้างชัดเจน ก่อนรับงานไม่คิดว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เมื่อบริษัทมีปัญหา ตนถูกออกหมายจับ ตอนนั้นอยู่ต่างประเทศ มีข่าวกดดันว่าหลบหนี ความจริงไม่ใช่ จากนี้จะให้ทนายรวบรวมพยานหลักฐานสู้คดีต่อไป ทั้งนี้รู้สึกไม่ดีที่ข่าวออกไปว่าถูกรวบคาสนามบิน ซึ่งมีการนัดหมายไว้ล่วงหน้าแล้ว ไม่ใช่เป็นการถูกจับกุม ขอร้องสื่อพาดหัวข่าวและนำเสนอข่าวของอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมืองถ่ายรูป ซึ่งได้บอกไปแล้ว ถ้าถ่ายเป็นภาพข่าวให้ขออนุญาตก่อน เพราะมีกฎหมายสิทธิส่วนบุคคลออกมากลัวถ่ายแล้วไปติดคนอื่นด้วย ติดใจตรงที่ตำรวจได้นำคลิปวิดีโอไปเผยแพร่ให้สื่อมวลชน เพราะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐแต่กลับละเมิดสิทธิประชาชนตามกฎหมายเสียเอง แต่ทั้งนี้ไม่คิดจะฟ้องร้อง
"ได้ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ยืนยันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขายหวยทิพย์ เพราะได้รับการติดต่อให้มาเป็นพรีเซนเตอร์ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 100,000 บาท มีหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักบริษัท โชคดี ล็อตเตอรี่เท่านั้น โดยไม่ได้มีเจตนาจงใจจะไปกระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา เพราะถ้ารู้ว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย การได้เงินค่าจ้างเพียงเท่านี้ คงไม่คุ้มกับชื่อเสียงที่ต้องเสื่อมเสีย หลังจากเกิดคดีได้มีการยุติบทบาทการเป็นพรีเซ็นเตอร์กับบริษัทไปนานแล้ว ส่วนที่มีข่าวว่าเป็นซีอีโอของนั้น แรกเริ่มจัดตั้งบริษัท บริษัทได้มีการทาบทามมาว่าอยากให้สวมบทบาทเป็นเจ้าของบริษัท เพราะถ้าให้เป็นแค่พรีเซ็นเตอร์อาจจะไม่ได้รับความสนใจ ซึ่งแอนนาก็อยากเป็นเจ้าของบริษัทอยู่แล้ว จึงได้มีการจดทะเบียนร่วมเป็น 1 ใน 3 คน แต่ตัวเองไม่ได้มีอำนาจในบริษัท"แอนนา ระบุ