×ข่าวรายการผังรายการรายการสด ร่วมงานกับเราติดต่อเรา

โอมิครอน XBB.2.3 หลบภูมิคุ้มกัน แต่ยังไม่รุนแรง

โอมิครอน XBB.2.3  หลบภูมิคุ้มกัน แต่ยังไม่รุนแรง
2023-06-09 16:14:23

อธิบดีกรมวิทย์ชี้โอมิครอนลูกผสม XBB.2.3  ไม่แตกต่างจากโอมิครอนสายพันธุ์อื่น แม้หลบภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ยังไม่มีข้อมูลความรุนแรง ย้ำ ATK และ PCR ตรวจได้ทุกสายพันธุ์

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.66 นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ตั้งแต่ต้นปี 65 พบโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.1, BA.2, BA.4, BA.5 รวมถึงสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ ในตระกูล โดยโอมิครอนยังคงเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่กระจายในประเทศ และจากสถานการณ์กลายพันธุ์ภายในสายพันธุ์ ของโอมิครอนที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดเป็นสายพันธุ์ย่อยหลากหลายกลุ่มในตระกูล รวมถึงสายพันธุ์ลูกผสม ปัจจุบันองค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญกับการติดตามโอมิครอน จำนวน 9 สายพันธุ์ จากพื้นฐานของข้อมูลการเพิ่มความชุกหรือความได้เปรียบด้านอัตราการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสายพันธุ์อื่นๆ และการกลายพันธุ์ในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับการได้เปรียบ ในการก่อโรค ได้แก่ สายพันธุ์ที่เฝ้าระวัง หรือ Variants of Interest (VOI) 2 สายพันธุ์ ได้แก่ XBB.1.5  และ XBB.1.16  และสายพันธุ์ที่ต้องจับตามอง หรือ Variants under monitoring (VUM) 7 สายพันธุ์ ได้แก่ BQ.1 , BA.2.75, CH.1.1, XBB, XBB.1.9.1, XBB.1.9.2  และ XBB.2.3  สถานการณ์สายพันธุ์เชื้อ SARS-CoV-2 ทั่วโลก อ้างอิงจากฐานข้อมูลกลาง GISAID ในรอบสัปดาห์ 8 - 14  พ.ค. 66 พบสัดส่วนเพิ่มขึ้น ลดลงจากรอบสัปดาห์ 10 - 16 เม.ย. 66 ดังนี้

-XBB.1.5  รายงานจาก 115 ประเทศ คิดเป็นร้อยละ 34.04 ลดลงจากร้อยละ 49.07

- XBB.1.16 รายงานจาก 61 ประเทศ คิดเป็นร้อยละ 16.32 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 8.78

- XBB, XBB.1.9.1, XBB.1.9.2และ XBB.2.3 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น

-BA.2.75, CH.1.1*และ BQ.1 มีแนวโน้มลดลง

นพ.ศุภกิจ กล่าวต่อว่า สถานการณ์โดยรวมของประเทศไทยพบสายพันธุ์ลูกผสมเพิ่มขึ้นต่อเนื่องแทนที่สายพันธุ์ BN.1  ที่เคยเป็นสายพันธุ์หลักที่ระบาดในไทยตั้งแต่ช่วงสิ้นปี 65 และพบในทุกเขตสุขภาพ ข้อมูลจากฐานข้อมูลกลาง GISAID ตั้งแต่เริ่มพบสายพันธุ์ XBB.1.16 เมื่อเดือน เม.ย.66 ปัจจุบัน XBB.1.16* เป็นสายพันธุ์ที่พบสัดส่วนมากที่สุด คิดเป็น 30.34 % รองลงมาคือสายพันธุ์ XBB.1.9  คิดเป็น 26.59% และสายพันธุ์ XBB.1.5  คิดเป็น 20.96%

ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาระหว่างวันที่ 29 พ.ค. - 4 มิ.ย.66 ผลการถอดรหัสพันธุกรรมเชื้อก่อโรคโควิด 19 จำนวน 185 ราย พบเป็นสายพันธุ์ลูกผสม 169 ราย คิดเป็น 91.35% โดยพบผู้ติดเชื้อกระจายทุกเขตสุขภาพ สัดส่วนสายพันธุ์ ที่ตรวจในสัปดาห์นี้สามอันดับแรก ได้แก่ สายพันธุ์ลูกผสม XBB.1.16* XBB.1.9.1* และ XBB.1.5* คิดเป็น 35.68%, 20.00 % และ 11.35% ตามลำดับ

ส่วนสายพันธุ์ XBB.2.3* องค์การอนามัยโลกประกาศเป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าติดตาม (VUMs) เพิ่มเติม เมื่อวันที่ 18 พ.ค.66 เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของโอมิครอน BA.2.10.1 และ BA.2.75 ที่กลายพันธุ์เพิ่มเติมบนโปรตีนหนาม S:T478K เหมือนกับสายพันธุ์เดลตา มีความสามารถในการหลบภูมิคุ้มกันได้ดี แต่ยังไม่มีหลักฐานที่แสดงถึงความได้เปรียบในการเติบโต แพร่ระบาด พบรายงานจาก 54 ประเทศทั่วโลก จำนวน 7,664 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 6 มิ.ย.66) สำหรับประเทศไทย พบแล้วจำนวน 60 ราย รายงานครั้งแรกในช่วงเดือนมี.ค.66 ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแสดงว่าสายพันธุ์ดังกล่าว ส่งผลต่อความรุนแรงของโรค

“แม้สถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ลูกผสมเป็นสายพันธุ์หลักกระจายทุกเขตสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยโรคโควิด 19 ด้วยชุดทดสอบ ATK และการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธี Real-time PCR ยังสามารถใช้ ตรวจการติดเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด 19 ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ ซึ่งรวมถึงสายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ลูกผสม อย่างไรก็ตาม ขอประชาชนให้ความสำคัญในการดูแลตัวเอง เข้ารับการฉีดวัคซีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบางหรือกลุ่มเสี่ยง 608 เพื่อป้องกันตนเองรวมถึงช่วยลดความรุนแรงของโรคหากได้รับเชื้อ ทั้งนี้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ของเชื้อก่อโรคโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรง หรือเสียชีวิต”  นพ.ศุภกิจ กล่าว