คุก 3 ปี อดีต รมช.คลังช่วย “โอ๊ค-เอม” เลี่ยงภาษี

2017-10-19 17:25:54

คุก 3 ปี อดีต รมช.คลังช่วย “โอ๊ค-เอม” เลี่ยงภาษี

Advertisement

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุกอดีต รมช.คลัง และอดีต ผอ.สำนักกฎหมาย 3 ปีไม่รอลงอาญา ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ช่วย “พานทอง-พินทองทา” เลี่ยงภาษี

เมื่อวันที่ 19 ต.ค. ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนางเบญจา หลุยเจริญ อดีต รมช.คลัง สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ และนายกริช วิปุลานุสาสน์ อดีต ผอ.สำนักกฎหมาย กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และ น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดเลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรยานายทักษิณ ชินวัตร เป็นจำเลยที่ 1 - 5 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

คดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2558 ระบุว่า จำเลยที่ 1 - 4 ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อไม่ให้นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรนายทักษิณ ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย และได้รับประโยชน์ที่มิควร โดยชอบด้วยกฎหมาย จากกรณีเมื่อปี 2549 ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด คนละ 164,600,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นๆละ 49.25 บาท ถือได้ว่านายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา เป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 และมีหน้าที่ต้องเสียภาษีส่วนต่างราคาหุ้น คนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำของพวกจำเลยดังกล่าวนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง และราชการได้รับความเสียหาย จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ก.ค.59 เห็นว่า จำเลยที่ 1-4 มีความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ให้จำคุกคนละ 3 ปี




ส่วน น.ส.ปราณี จำเลยที่ 5 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ มีโทษ 2 ใน 3 จึงให้จำคุก 2 ปี เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีของจำเลยทั้งหมดไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ ต่อมาจำเลยทั้งหมด ยื่นอุทธรณ์คดี และได้รับการประกันตัวระหว่างอุทธรณ์คดี คนละ 300,000 บาท

ศาลอุทธรณ์ เห็นว่าทุกประเด็นในคำอุทธรณ์ของจำเลยทั้ง 5 คนฟังไม่ขึ้น ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยทั้งห้า โดยไม่รอการลงโทษนั้นศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย เนื่องจากเป็นการกระทำโดยมิได้คำนึงถึงความเสียหายและความน่าเชื่อถือในการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศชาติพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง

เมื่อสิ้นสุดเวลาทำการของศาล ไม่ปรากฏว่าศาลฎีกามีคำสั่งปล่อยตัวชั่วคราวนางเบญจา พร้อมพวก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงเข้าควบคุมจำเลยทั้งหมด ก่อนแยกไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพและทัณฑสถานหญิงกลางต่อไป