แถลงจับ 5 คนร้ายปล้นเงิน 196 ล้านเยน

2017-10-05 15:30:41

แถลงจับ 5 คนร้ายปล้นเงิน 196 ล้านเยน

Advertisement

ผบ.ตร.แถลงจับ 5 คนร้ายปล้นเงิน 196 ล้านเยน พร้อมของกลางเงินสด โวใช้ 2 วันจับคนร้ายได้

เมื่อเวลา 15.10 น. วันที่ 5 ต.ค. พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เป็นประธานในการแถลงข่าวจับกุมตัวผู้ต้องหา 5 คน ประกอบด้วย 1.นายณรงค์ชัย หรือจั๊ว สวัสดิผล 2.นายชวลิต หรือ ริด เจริญผล 3.นายสุรศักดิ์ หรือกิ๊ก ศรีฑะวงศ์ 4.นายพงษ์ศักดิ์ หรือคริส ปิตศิริพันธ์ และ5.นายกฤษดา หรือแวน อัตถาเวช โดยผู้ต้องหาทั้งหมดได้ร่วมกันปล้นเงินของ นายภัทริศ แต้รัตนชัย อายุ 34 ปี นักธุรกิจจิวเวอร์รี่ บริเวณลานจอดรถ ชั้น 5 คอนโดมิเนียมย่านถนนรัชดาภิเษก เมื่อคืนวันที่ 2 ต.ค.ที่ผ่านมา พร้อมของกลางเงินที่ถูกปล้นจำนวน 196 ล้านเยน หรือประมาณ 57 ล้านบาท

ผบ.ตร. กล่าวว่า หลังจากเกิดคดีดังกล่าวได้เรียกประชุมทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดกรอบเวลา 7 วัน แต่ฝ่ายสืบสวนสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้ภายใน 2 วัน ถือว่าประสบความสำเร็จในการติดตามคนร้ายโดยตำรวจพยายามสืบสวนข้อมูลแผนประทุษร้ายในครั้งนี้ เชื่อว่าเป็นบุคคลใกล้ชิด เพราะทราบเส้นทางการขนเงินเป็นอย่างดี จนกระทั่งสามารถจับคนร้ายได้ 5 ราย ยังหลบหนีอยู่อีก 2 รายซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามตัว




พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวอีกว่า หลังจากนี้จะมีการตรวจสอบเส้นทางการเงินของคนร้าย รวมถึงของผู้เสียหายด้วยว่าเงินดังกล่าวเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาหรือไม่ ซึ่งจากการซักถามผู้ก่อเหตุ มีการขนเงินให้กับนายภัทริศในจำนวนดังกล่าวมาหลายครั้ง ยอมรับว่านายภัทริศเป็นคนดี แต่ตัวผู้ต้องหามีปัญหาเรื่องเงินจึงร่วมมือกันวางแผนและก่อเหตุดังกล่าว

อย่างไรก็ตามนายภัทริศได้เดินทางมามอบดอกไม้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถติดตามทรัพย์สินของตนเองกลับมาได้ โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ทั้งนี้ในวันที่ 6 ต.ค. เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจะควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ที่จุดเกิดเหตุ ก่อนนำไปขออำนาจศาลฝากขังต่อไป 


เบื้องต้นตำรจได้แจ้งข้อหาปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธปืนโดยใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อให้พ้นจากการจับกุม,ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่ร่างกายและจิตใจ,ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันพกพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรหรือร่วมกันรับของโจร