ภาพ STR / AFP
เมื่อวันที่ 2 ก.ย. รัฐบาลเมียนมา แถลงว่า มีบ้านเรือนกว่า 2,600 หลัง ถูกเผาหวอดในพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมโรฮีนจา ในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ ซึ่งเป็นความรุนแรงครั้งนองเลือดที่สุดในรอบหลายสิบปี ขณะที่ ข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอชซีอาร์ แถลงว่า มีชาวโรฮีนจาประมาณ 58,600 คน อพยพหนีความรุนแรงออกจากเมียนมา ข้ามพรมแดนเข้าไปยังบังกลาเทศ ขณะที่ เจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ ก็พยายามให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ภาพ STR / AFP
ภาพ Emrul KAMAL / AFP
ทางการเมียนมา ประณามกองกำลังปลดปล่อยโรฮีนจาแห่งอาระกัน หรืออาร์ซา (ARSA) เผาบ้านประชาชน โดยกลุ่มนี้ ออกมาอ้างความรับผิดชอบในการก่อเหตุโจมตีต่อเนื่องด่านความมั่นคงของเมียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งกระตุ้นให้เกิดการปะทะกัน และกองทัพเมียนมาก็ใช้ปฏิบัติการทางทหารกวาดล้างครั้งใหญ่ แต่ชาวโรฮีนจา ที่หลบหนีไปยังบังกลาเทศ กล่าวว่า การวางเพลิงและการเข่นฆ่าชาวบ้าน เป็นฝีมือของทหารเมียนมา ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อบังคับให้พวกเขาออกจากพื้นที่
ภาพ Emrul KAMAL / AFP
รัฐบาลเมียนมา ระบุว่า การปะทะกันและการกวาดล้างครั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตแล้วเกือบ 400 คน และประชาชนที่ไม่ใช่ชาวมุสลิมมากกว่า 11,700 คน อพยพออกจากพื้นที่ ทั้งนี้ การปฏิบัติต่อชาวโรฮีนจาประมาณ 1.1 ล้านคนของเมียนมา ถือเป็นความท้าทายใหญ่ที่สุดของนางออง ซาน ซู จี ผู้นำเมียนมา ซึ่งชาติตะวันตกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ยอมปริปากพูดถึงชะตากรรมชนกลุ่มน้อยโรฮีนจา
ขณะเดียวกัน บังกลาเทศ ก็ทำตัวเป็นศัตรับชาวโรฮีนจาด้วย ซึ่งมีชาวโรฮีนจามากกว่า 4 แสนคน ลี้ภัยอยู่ในประเทศเอเชียใต้ยากจนแห่งนี้ หลังหลบหนีออกจากเมียนมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990
ทั้งนี้ รัฐบาลเมียนมาปฏิเสธการให้สิทธิพลเมืองแก่ชาวโรฮีนจา โดยอ้างว่า เป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย แม้ว่าพวกเขาจะอ้างว่าตั้งรกรากอยู่ในพื้นที่มานานหลายร้อยปีแล้วก็ตาม
ภาพ STR / AFP