พ่อโดนแย่งลูกแจ้งจับ “อดีตพ่อตา-อดีตเมีย”

2018-08-09 00:45:03

พ่อโดนแย่งลูกแจ้งจับ “อดีตพ่อตา-อดีตเมีย”

Advertisement

พ่อโดนทำร้าย แถมถูก ตร.รวบเหตุแย่งลูกกลางโรงเรียน ควงทนายบุกโรงพักแจ้งความเอาผิดอดีตพ่อตา พร้อมผู้เกี่ยวข้องทำร้ายบาดเจ็บ รวมถึงอดีตภรรยาที่ไปร้องเรียนให้ข้อมูลเท็จกับทหารว่าค้ายาเสพติด




จากกรณีมีผู้โพสต์คลิปวิดีโอเป็นภาพเหตุการณ์ขณะเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจบุกจับชายคนหนึ่งภายใน รร.เมืองพัทยา 6 เมืองพัทยา จ.ชลบุรีพร้อมกับข้อความระบุ ในทำนองว่าชายคนดังกล่าวมีปัญหากับอดีตภรรยา จนเกิดการหย่าร้างและฟ้องร้องสิทธิ์ในการดูแลลูกจำนวน 2 คน และ เหตุการณ์ในวันนั้น ก็มีอดีตภรรยาและญาติรวมอยู่ด้วย หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปทำให้มี คนในโลกออนไลน์เข้ามา แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา ซึ่งส่วนใหญ่ ตั้งคำถามว่าเจ้าหน้าที่กระทำการเกินกว่าเหตุหรือไม่ อีกทั้งหลายคนก็ยังสงสัย ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปอย่างไร





เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อช่วงค่ำวันที่ 8 ส.ค. นายธารา เวลาแจ้ง อายุ 35 ปี ซึ่งอยู่ในสภาพใบหน้าบวมปูดตาเขียวช้ำ เดินทางมาที่สภ.บางละมุง พร้อมกับทนายความ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.จักร์ทิพย์ พาราพันธสกุล ผกก.สภ.บางละมุง และ พ.ต.ท.ดรัณภพ สระทองอยู่ รอง ผกก.ป. เพื่อแจ้งความเอาผิดกับอดีตภรรยาและบิดารวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้อง

นายธาดา เปิดเผยว่า ไม่ได้ติตใจในการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด เพียงแต่สงสัยว่า ตอนนั้นทำไมไม่มีใครช่วยลูกของตนไว้ ในขณะที่ อดีตภรรยา อุ้มลูกไปโดยที่เด็กไม่เต็มใจ ซึ่งเรื่องนี้ตอนกลับตำรวจได้มีการพูดคุยทำความเข้าใจกันแล้ว แต่ที่มาโรงพักในครั้งนี้เพื่อแจ้งความเอาผิดบิดาของอดีตภรรยา พร้อมผู้เกี่ยวข้องผู้ที่ลงมือทำร้ายร่างกายตน จนได้รับบาดเจ็บรวมถึงอดีตภรรยาที่ไปร้องเรียน และให้ข้อมูลเท็จกับทหารว่าตนค้ายาเสพติด จนเป็นสาเหตุของเรื่องนี้





นายธาดา กล่าวต่อว่า ยอมรับว่าในอดีตเมื่อ อายุประมาณ 17-18 ปี เคยมีประวัติเกี่ยวกับยาเสพติด แต่ตอนนี้อายุ 35 ปีแล้วและมีภาระต้องเลี้ยงดูบุตรถึง 2 คน ตนจะไปทำตัวเหมือนในอดีตได้อย่างไร ขอยืนยันว่าปัจจุบันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้แล้วและตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินอย่างสุจริต มาโดยตลอด

“ในอดีตหลังจากหย่าร้างกับภรรยา ก็ได้มีการพูดคุยทำข้อตกลงเกี่ยวกับการดูแลบุตร ซึ่ง ซึ่งศาลได้ทำสัญญาประนีประนอม โดยระบุว่าให้มีการดูแลบุตรร่วมกัน แต่ฝ่ายสามีจะต้องชำระค่าเล่าเรียนทั้งหมด ผมมจึงนำลูกมาเลี้ยงเอง ที่ผ่านมาอดีตภรรยาเคยพาทั้งตำรวจและทหาร บุกมาแย่งชิงจะเอาตัวลูก ไปอยู่ในความครอบครองแล้วหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นที่ รร.เอกชนแห่งหนึ่ง แต่โชคดีที่ครูโทรศัพท์บอกผมจึงรีบไปที่ รร.และไม่ยินยอมให้นำลูกไป ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็ไม่มีอะไรรุนแรง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องไปรับประทานอาหารกลางวันกับลูกทุกวัน เพราะกลัวว่า อดีตภรรยาจะมาโกหกครูนแล้วนำลูกไป” นายธาดากล่าว




นายธาดา กล่าวด้วยว่า รักลูกทั้ง 2 คนมากและเชื่อว่าอดีตภรรยาก็รักลูกเช่นกัน แต่ก็น่าจะมีเหตุผลมากกว่านี้ ไม่น่าจะใช้วิธีการนี้เพื่อที่จะนำลูกไป โดยส่วนตัวก็รู้สึกสงสัย เพราะทุกครั้งที่ภรรยา จะมาเอาลูกมักจะพาเจ้าหน้าที่ มาด้วยทุกครั้ง แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ มาคราวนี้ ทำถึงขั้นโกหกเจ้าหน้าที่ ด้วยการร้องเรียนศูนย์ดำรงธรรม อ.บางละมุง ว่าตนเป็นพ่อค้ายาบ้า ตนคิดว่ามันเกินไป แต่อย่างไรก็ตาม ทางออกที่ดีของเรื่องนี้ คือ ทั้งสองฝ่ายต้องมาพูดคุยกัน ซึ่งตนก็พร้อมที่จะเจรจา และเชื่อว่าอดีตภรรยาก็รักลูกไม่ต่างไปจากตน






ด้านตำรวจเปิดเผยว่า เกี่ยวกับเรื่องนี้มีประชาชนและคนในโลกโซเชียลมีเดียเข้าใจผิด ว่าการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจเกินกว่าเหตุ จริงๆ แล้วในวันนั้นหลังจากทหารมาขอกำลังเสริมจึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่ใช่ไปจับกุมใครทั้งสิ้น ความจริงแล้วเหตุการณ์คือตำรวจเข้าไปห้ามปราม หลังจากที่ญาติฝ่ายหญิงได้เข้าไปทำร้ายร่างกายนายธารา และควบคุมตัวนายธาราไว้เพราะเจ้าตัว กำลังขาดสติ ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้มีการดำเนินคดีเพราะยังไม่ได้รับการประสานจากทหารที่มาขอกำลังเสริมเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนที่มาที่ไปเป็นอย่างไร คงต้องให้ฝ่ายทหารเป็น ผู้ชี้แจงเอง





ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่ศูนย์ดำรงธรรม อ.บางละมุงซึ่งตั้งอยู่บนชั้น 2 ของที่ว่าการ อ.บางละมุง และได้สอบถาม เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ ได้รับการเปิดเผยว่า กรณีนี้เบื้องต้น ทางศูนย์ดำรงธรรม ไม่ได้รับการร้องเรียน เป็นลายลักษณ์อักษรแต่อย่างใด คงต้องไปถาม เจ้าหน้าที่ทหารเพราะอาจมีการร้องเรียนด้วยวาจาโดยตรงไปที่ทหารก็เป็นได้แต่ในส่วนของศูนย์ดำรงธรรมเองยังไม่ได้รับเรื่องร้องเรียนตามที่เป็นข่าว ส่วนกรณีที่มีประชาชนร้องเรียนเข้ามาที่ศูนย์ดำรงธรรมวิธีการดำเนินการของศูนย์ ก็ต้องมีการไต่สวนสืบหาข้อเท็จจริง ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ อยู่แล้ว

ขอบคุณภาพเฟซบุ๊ก : Arocha Reampong,เรารักพัทยา