ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “โรคพิษสุนัขบ้า”

2018-03-20 11:00:47

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “โรคพิษสุนัขบ้า”

Advertisement

หลังจากมีรายงานผู้เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุนับบ้า ที่ จ.บุรีรัมย์ เป็นรายที่ 6 ทำให้ประชาชนตื่นตัวเกี่ยวกับโรคนี้กันมากขึ้น แต่หลายคนก็ยังไม่รู้จักโรคพิษสุนัขบ้าดีพอ และยังมีความเข้าใจผิดอยู่ในหลายประเด็น 


เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผอ.ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระบุว่า มีพี่ๆ น้องๆ ทางจังหวัดต่างๆ โทรศัพท์มาปรึกษาเรื่องคนไข้มีอาการโรคพิษสุนัขบ้าอยู่เรื่อยๆ ประชาชนในพื้นที่ เอาเนื้อโค กระบือ สุนัขที่ติดเชื้อมากิน ต้องฉีดยาสำหรับคนฆ่า ชำแหละ ปรุงอาหาร กินดิบสุนัขต้องสงสัยเพื่อตรวจหาเชื้อในสมองพบว่ามีเชื้อเกือบทุกจังหวัดแล้วครับ



สัตว์นำโรค



คิดว่าลูกสุนัขและแมว ไม่มีเชื้อพิษสุนัขบ้า จริงๆ แล้ว 

-สุนัขและแมวอายุเท่าใดก็ตามแพร่โรคได้ แม้จะมีอายุเพียง 1 เดือน 

คิดว่าสุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เฉพาะในหน้าร้อนเท่านั้น

-จริงๆ แล้ว เป็นได้ทุกฤดูกาล ฉะนั้นการฉีดวัคซีนในสัตว์ไม่จำเป็นต้องรอฤดูกาล และคนเมื่อถูกกัดไม่ว่าฤดูไหนก็ตามต้องได้รับการฉีดยาป้องกัน

คิดว่าหากถูกสุนัขหรือแมวกัดโดยอาการของสัตว์ปกติดี ก็ไม่น่าจะเป็นบ้า

-จริงๆ แล้ว สุนัขและแมวสามารถแพร่เชื้อโรคได้ถึง 10 วันก่อนจะแสดงอาการหากถูกสุนัขหรือแมวกัด ถ้าสัตว์ดูยังปกติ อย่านิ่งนอนใจ ต้องได้รับการฉีดยาป้องกัน จับแยก และกักขังสุนัขและแมวนั้นๆ หากแสดงอาการผิดปกติต้องตัดหัวนำไปส่งตรวจทันที ถ้าผ่าน 10 วันไปแล้วไม่มีอาการผิดปกติแสดงว่าไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า

คิดว่าการฉีดวัคซีนในสุนัขหรือแมวจะป้องกันการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าได้ 100%

-จริงๆ แล้ว หากสัตว์ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าแล้วและอยู่ในระยะฟักตัว การฉีดวัคซีนจะไม่ได้ผลดังนั้นการนำสุนัขและแมว มาเลี้ยงต้องรู้ประวัติพ่อแม่และการเลี้ยงดูที่ผ่านมาอย่างชัดเจน 

คิดว่าสุนัขหรือแมวที่ได้รับวัคซีน 1 ครั้งจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต ไม่มีโอกาสเป็นบ้า

-จริงๆ แล้ว ยังมีโอกาสเป็นบ้าได้ ดังนั้นสุนัขและแมวต้องได้รับวัคซีน 2 ครั้งในปีแรก และ 1 เข็มต่อปี มิฉะนั้นยังมีโอกาสเป็นบ้าได้เมื่อได้รับเชื้อ ทั้งนี้อาจต่างจากบางประเทศที่เจริญแล้วที่สุนัขและแมวหลังจากที่ได้รับการฉีดครั้งแรกแล้ว ไม่ต้องฉีดประจำ ทุกปี ทั้งนี้เนื่องจากโอกาสที่สุนัขและแมวจะได้รับเชื้อมีน้อยมากเหลือเกินและจะทำการฉีดกระตุ้นต่อเมื่อมีการสัมผัสโรคจริงๆ เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทยที่เป็นประเทศที่ชุกชุมด้วยโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัข และโอกาสที่สัตว์เลี้ยงจะได้รับเชื้อค่อนข้าง มีสูงจึงต้องฉีดต่อทุกปี

คิดว่าสุนัขและแมวที่เราเลี้ยงและเคยได้รับวัคซีนมาก่อนถูกสุนัขบ้ากัดก็ไม่เสี่ยงต่อการติดโรค

-จริงๆ แล้ว ต้องได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำ และกักขังดูอาการอย่างน้อย 45 วัน แต่ถ้าสุนัขและแมวนั้นไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน เมื่อถูกสุนัขบ้ากัด องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ทำลายเพราะมีโอกาสติดเชื้อสูง แต่ถ้าไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ให้ฉีดวัคซีนทันทีและกักขังดูอาการ 6 เดือนและฉีดวัคซีนซ้ำ 1 เดือนก่อนปล่อย 

คิดว่าสุนัขและแมว เท่านั้นที่แพร่เชื้อสู่คนได้

-จริงๆ แล้ว สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเป็นโรคและแพร่โรคได้เช่นกัน ทั้งนี้แม้แต่ ลิง หนู และกระต่าย อย่างไรก็ดีในกรณีของหนูและกระต่ายเมื่อติดเชื้อและเกิดโรค ความสามารถในการแพร่โรคกระจายในหมู่พวกเดียวกันเองต่ำมาก และ ไม่ถือว่าเป็นตัวการสำคัญในการแพร่โรค แต่ถ้าคนถูกหนูหรือกระต่ายกัดให้พิจารณาเป็นรายๆ ไป การตรวจหาเชื้อในสมองสัตว์จะช่วยตัดสินได้เด็ดขาดว่าควรต้องให้การรักษาแก่คนที่ถูกกัดหรือไม่ อนึ่ง ระยะเวลา 10 วันที่ใช้ในการจับแยกและกักขังเพื่อ ดูอาการว่าเป็นบ้าหรือไม่ใช้ได้กับสุนัขและแมวเท่านั้น


การติดเชื้อในคนและการป้องกันโรค

คิดว่าการกัดคนทั้งๆ ที่ไม่ได้ถูกแหย่เป็นเครื่องแสดงว่าสุนัข แมวนั้นๆ เป็นบ้า 

-จริงๆ แล้ว สุนัข แมวที่เป็นบ้า กัดคนโดยที่แหย่หรือไม่ได้แหย่ก็ได้ เมื่อถูกกัด ต้องไปรับการรักษาเช่นกัน

คิดว่าการข่วนจากสุนัขหรือแมวไม่น่าจะติดโรคพิษสุนัขบ้าได้

-จริงๆ แล้ว การข่วนด้วยเล็บ ก็ทำให้ติดโรคและตายได้ เนื่องจากสุนัข แมวเลียอุ้งตีนและเล็บ อาจมีไวรัสจากน้ำลายติดค้าง อยู่ที่เล็บ และแพร่เชื้อได้หากแผลมีเลือดออกแม้เพียงซิบซิบ

เมื่อถูกสุนัขกัด คิดว่าเอารองเท้าตบหรือราดด้วยน้ำปลาจะช่วยฆ่าเชื้อได้

-จริงๆ แล้ว เมื่อถูกกัดต้องล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่ เป็นเวลา 10 - 15 นาที หรือตามความเหมาะสมถ้าถูฟอกจนกระทั่งแผลถลอกมากขึ้นอาจจะทำให้ไวรัสเข้าเส้นประสาทโดยตรง จากนั้นพบแพทย์ทันที เพื่อล้างแผลอีกครั้ง และ ฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาไอโอดีน ควรหลีกเลี่ยงการเย็บแผล ถ้าจำเป็นเย็บได้หลวมๆ หลังจากที่ได้ฉีดเซรุ่มแล้ว การเย็บปิดแผลจะส่งเสริมให้เชื้อ เข้าเส้นประสาทได้ไวและเร็วขึ้น การปฏิบัติตามความเชื่อผิดๆ เหล่านี้ทำให้มีคนเสียชีวิตมานักต่อนัก

เมื่อถูกสุนัขหรือแมวที่มีเชื้อกัด คิดว่ามีโอกาสรอดแม้ไม่ได้รับการรักษา

-จริงๆ แล้ว ถ้าคนถูกกัดแล้วมีอาการจะเสียชีวิตทุกรายภายใน 5 - 11 วัน แต่คนที่รอดไม่ได้หมายความว่าคาถาดี ทั้งนี้ เพราะไม่มีไวรัสในน้ำลายตลอดเวลา โดยที่ไวรัสจะถูกปล่อยมาในน้ำลายเป็นครั้งคราว ดังนั้นแม้ถูกหมาบ้ากัดจริงๆ พบได้ 30-80% หรือเฉลี่ยครึ่งต่อครึ่งที่ไม่ตายได้

คิดว่ารอให้สุนัขหรือแมว ที่กัดแสดงอาการหรือตายก่อนจึงค่อยพาคนที่ถูกกัดไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน

-จริงๆ แล้ว การฉีดยาป้องกันที่ได้ผลสูงสุด อยู่ในช่วงเร็วที่สุด ถ้าเป็นไปได้โดยเฉพาะใน 72 ชั่วโมงหลังถูกกัด และถ้าแผล มีเลือดออกไม่ว่าตำแหน่งใดของร่างกายต้องได้เซรุ่ม (อิมมูโนโกลบูลิน) ชนิดสกัดบริสุทธิ์ ฉีดที่แผล


เรื่องควรรู้เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า 

จากการประชุมองค์การอนามัยโลก ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญนานาชาติจัดที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ในเดือนเมษายน 2560 ตอกย้ำ การประชุมก่อนหน้านั้นที่เจนีวาในปี 2556 มีหลักฐานชัดเจนว่าถึงแม้จะรักษาทันท่วงทีเมื่อมีอาการแล้ว ก็อาจเสียชีวิตได้แม้ว่าจะเกิดได้น้อยมากๆ ก็ตาม ประเทศไทยในปี 2542 มีรายงานผู้ป่วยตาย 2 ราย และในปี 2552 รายงานผู้ป่วย 1 ราย แม้ได้รับการรักษาด้วยวัคซีนและเซรุ่ม และมีผู้ป่วยตายในประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน

ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมสัตว์นำโรค โดยเฉพาะสุนัขและแมว และคนที่มีโอกาสถูกสุนัขหรือแมวกัดบ่อยๆ ควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันล่วงหน้า ซึ่งฉีดเพียงสองครั้งในวันที่ 0 และวันที่สาม โดยฉีดเข้าชั้นผิวหนังครั้งละสองจุด โดยที่แม้ว่าจะถูกกัดในอนาคต 10 - 20 ปีก็ตาม เพียงได้รับวัคซีนกระตุ้น 2 เข็ม หรือฉีดเข้าชั้นผิวหนังสี่จุดในวันเดียวโดยไม่ต้องฉีดเซรุ่มก็ปลอดภัยแล้ว

โรคพิษสุนัขบ้าในคนมีอาการซับซ้อนและไม่จำเป็นต้องมีอาการกลัวน้ำ กลัวลม หรือมีน้ำลายมาก แต่มีอาการคล้ายโรคทางสมองทั่วไป หรืออาการอัมพาต แขนขาอ่อนแรง และ10% ของผู้ป่วยไม่มีประวัติถูกสัตว์กัด หรือถูกกัดบ่อยมากจนคิดว่าไม่สำคัญ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้พัฒนาวิธีการวินิจฉัยโดยใช้รูปแบบที่ปรากฏในคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง และวิธีทางอณูชีววิทยา โดยตรวจหา RNA ของไวรัสในน้ำลาย น้ำไขสันหลัง ปมรากผม ปัสสาวะ จนถึงปัจจุบันได้ทำการประสานการตรวจยืนยันให้กระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน ปี 2561 เป็นจำนวนมากกว่า 90 รายและวิธีการทั้งหมดได้รับการบรรจุในคู่มือขององค์การอนามัยโลก


ถึงแม้ผู้ป่วยจะเสียชีวิตทุกรายแต่การวินิจฉัยยืนยันที่ถูกต้องจะนำไปสู่การค้นหาต้นตอของโรค โดยพุ่งเป้าไปยังกลุ่มสุนัขที่กัดผู้ป่วย ทั้งนี้เนื่องจากสุนัขตัวการนอกจากจะแพร่โรคให้ผู้ป่วยแล้วยังมีโอกาสแพร่โรคไปยังสุนัขใกล้เคียง และสุนัขเหล่านั้นเท่ากับเป็นระเบิดเวลาเคลื่อนที่พร้อมที่จะแพร่โรคต่อไปในอนาคตและต้องไม่ลืมว่าคนที่สัมผัสผู้ป่วยก็มีโอกาสติดเชื้อได้ จึงต้องได้รับการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม