“หมอจ่อย” นวดเท้าไฟรักษาปวดเมื่อย อยากได้ผู้สืบทอดวิชา

2018-02-25 18:05:39

“หมอจ่อย” นวดเท้าไฟรักษาปวดเมื่อย อยากได้ผู้สืบทอดวิชา

Advertisement

หมอจ่อย นวดเท้าไฟ ยังรักษาคนไข้แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 34 ปี บรรเทาอาการปวดเมื่อย เจ็บปวดตามร่างกาย แก้ปัญหาเส้นประสาทกดทับตามร่างกาย เผยมีคนไข้ประจำ ขาจร ทุกระดับหลากหลายอาชีพ ค่านวดตามแรงศรัทธา เผยอยากมีผู้มาสืบทอดเอาไว้รักษาคนเจ็บปวดพร้อมถ่ายทอดวิชา


เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 50 หมู่ที่ 7 บ้านพนมทอง ต.ห้วยเม็ก อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ เพื่อติดตามการรักษาคนไข้ด้วยการนวดเท้าไฟ โดยเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นข่าวใหญ่สุดทึ่ง ฮือฮากันทั้งประเทศมาแล้ว และในปัจจุบันหมอนวดเท้าไฟชื่อดัง นายสุพันธุ์ หารปราบ อายุ 64 ปี หน้าตาสดใส พูดคุยทักทายคนไข้ด้วยอัธยาศัยคนอารมณ์ดีไม่เปลี่ยนแปลงขะมักเขม้น ใช้เท้าทั้ง 2 ข้างเหยียบจอบเผาไฟสลับไปมาเพื่อรักษาคนไข้ที่มารอคิวจำนวนมากตลอดทั้งวัน



ศาลากระท่อมขนาดเล็กกะทัดรัด จัดสัดส่วนพื้นที่มีหิ้งบูชาครูอาจารย์ศาสตร์การนวดตามความเชื่อ อีกส่วนเป็นสถานที่ใช้รักษาคนไข้มีที่นอน หมอนและผ้าคลุม ใกล้ ๆ กันมีน้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว ด้านบนมีราวไม้ไผ่พาดสำหรับใช้จับประคองการทรงตัวในเวลาใช้เท้าไฟเหยียบรักษาคนไข้ ขณะที่ด้านล่างมีจอบเผาไฟด้วยเตาอั้งโล่ รอบริการรักษาคนไข้ที่แวะเวียนมาตลอดทั้งวัน ขณะที่ค่ารักษาหมอจ่อย ให้จ่ายตามกำลังศรัทธาไม่เรียกเก็บ และขอหยุดทุกวันพระเพื่อเปิดทำการรักษาพระภิกษุสงฆ์และเข้าวัดเพื่อทำบุญ สวดมนต์ การรักษาที่แปลกพิสดารจนน่าทึ่งด้วยการใช้เท้าเหยียบจอบที่เผาไฟร้อน ๆ แล้วมาเหยียบนวดตามร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งเท้าหมอนวดจะสลับเหยียบจอบซ้ายขวาไปมา ที่สำคัญหมอนวด เจ้าของฉายา "หมอจ่อยเท้าไฟ" ไม่แสดงอาการปวดแสบร้อนเท้าทั้งสองข้างแม้แต่นิดเดียว




นายสุพันธุ์ หารปราบ หรือหมอจ่อย กล่าวว่า เดิมเป็น อสม. ชอบศึกษาหาความรู้เรื่องสมุนไพร ได้เรียนวิชานวด จับเส้น และเปิดนวดบริการในชุมชนขณะเดียวกันพระครูมงคลสิทธิ์ (นิน ฐิตะธมมฺโม) เจ้าคณะตำบลห้วยเม็กได้เมตตาสอนวิชาสุมนไพรพื้นบ้าน และการนวดเจ็บเส้น เอ็น กระดูก จนมีความเชี่ยวชาญ และส่งไปร่ำเรียนเพิ่มเติมวิชาเท้าไฟที่ จ.มหาสารคาม จนถึงตอนนี้ได้รักษาคนไข้ในอาการต่าง ๆ มานานกว่า 34 ปี ใช้จอบเผาไฟรักษาคนหมดไปกว่า 10 อัน คนไข้จากปกติมาวันละหลายสิบคนจนต้องลดจำนวนรักษาต่อวันเหลือ 15 คน เพราะอายุเริ่มมากขึ้นอีกทั้งอยากรักษาคนไข้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะวันจะงดรับรักษาประชาชนทั่วไปแต่จะให้การรักษาพระภิกษุสงฆ์ และเข้าวัดทำบุญ สวดมนต์ เป็นวัตรปฎิบัติเช่นนี้มาโดยตอด โดยขั้นตอนการรักษาจะเริ่มต้นจากการนวดคนไข้ด้วยน้ำมันมะพร้าว น้ำมันงาที่ทำขึ้นเอง จากนั้นจะใช้เท้าเหยียบจอบที่เผาไฟร้อน ๆ แล้วเอาเท้านั้นมานวดตามร่างกายส่วนต่าง ๆ ส่วนที่ว่าร้อนเท้าไหมนั้น ตั้งแต่วันแรกที่เรียนจนถึงตอนนี้เหยียบจอบไม่รู้สึกร้อนใด ๆ เพราะร่ำเรียนมามีคาถาที่สืบทอดต่อจากครูอาจารย์ และทำไมต้องเป็นจอบ ที่ใช้มาเผาไฟรักษาคนไข้ก็เพราะจอบจะช่วยขุดอาการเจ็บป่วย ปวด ที่ทนทุกข์ทรมานมานานให้หายไป


“หลังจากที่เป็นข่าวฮือฮาดังไปทั่วประเทศเมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้ว ประชาชนที่มีอาการเจ็บป่วยจากโรคปวดตามตัว กระดูก เส้นเอ็น แห่มารับการรักษาจำนวนมากบางรายเดินทางมาไกลถึงตี 2 – 3 เราก็เปิดรักษา อีกทั้งรายการโทรทัศน์ รายการข่าวก็เดินทางมาถ่ายทำไม่ขาดสายจนถึงตอนนี้ก็ยังเป็นที่รู้จักมีประชาชนที่เป็นคนไข้ประจำมารับการรักษาต่อเนื่องรวมถึงคนไข้ใหม่ทุกอาชีพทุกระดับเดินทางมารับการรักษาที่ยังคงการรักษาในมาตรฐานเดิมน้ำมันมะพร้าว น้ำมันงา ส่วนประกอบสำคัญของการรักษาต้องทำขึ้นเอง ขณะที่การเหยียบรักษาจะใช้เวลา 45 นาที ถึง 1 ชม. โดยจอบที่เผาด้วยไฟร้อน ๆ จะเริ่มตั้งเตาตั้งแต่เวลา 05.00 น. ของทุกวันถ่านไม้เนื้อดีจะถูกเติมเพื่อเพิ่มความร้อนตลอดทั้งวันจนกระทั่งเสร็จสิ้นการรักษาก็จะดับไฟให้มอดลงเป็นอยู่เช่นนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน” หมอจ่อย กล่าว

หมอนวดเท้าไฟ กล่าวอีกว่า คนที่เข้ามารับการรักษาในยุคนี้อาการป่วยไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก เช่น กลุ่มปวดเรื้อรัง เจ็บปวดตามข้อ กระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น จากอุบัติเหตุ และการทำงานหนัก ขณะเดียวกันโรคที่พบใหม่อย่างกระทับเส้นประสาท มีคนป่วยหลายคนที่จะต้องผ่าตัดเมื่อรักษาไปเพียงครั้งเดียวก็หายขาดไม่ต้องไปผ่าตัดเลย หลายคนอาจจะไม่เชื่อแนวทางการรักษาแบบพื้นบ้านตามตำราครูอาจารย์ ก็เป็นเรื่องส่วนบุคคลบ้างก็มีมาท้าทายลองของเราก็นวดให้ตามปกติ เพราะคิดว่าคิดดีทำดีเป็นที่ตั้งเราก็ไม่มีภัยใด ๆ อย่างไรก็ตามในตอนนี้อยากได้คนรุ่นใหม่มาเรียนรู้วิชาการนวดให้สืบทอดต่อจากตน เพราะอายุที่มากขึ้นแต่คนไข้มารักษายังเยอะขึ้นทุก ๆ ปี เป็นไปได้หากตั้งจิตตั้งใจดีก็พร้อมจะสอนวิชาให้เพื่อจะได้ช่วยกันรักษาคนไข้ ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากร่วมทำบุญเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน