วอนช่วย! 2 ตายาย เจอเรียกภาษีกว่า 11 ล้าน ทั้งที่ยากจน ไม่เคยมีธุรกิจ

2018-02-14 15:55:16

วอนช่วย! 2 ตายาย เจอเรียกภาษีกว่า 11 ล้าน ทั้งที่ยากจน ไม่เคยมีธุรกิจ

Advertisement

สองตายาย จ.นครพนม แทบล้มทั้งยืนเจอหมายศาลฟ้องเรียกเก็บภาษีกว่า 11 ล้านบาท ทั้งที่ยากจน รับจ้าง ไม่เคยมีธุรกิจ อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ วอนช่วยเหลือ



เมื่อวันที่ 14 ก.พ.ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มี นางนุ้ย พรมราช อายุ 57 ปี พร้อมด้วยสามี คือ นายทองคำ จิตค้า อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 52 หมู่ 6 บ้านนาทาม ต.พระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม นำเอกสารหลักฐานหมายศาลภาษีอากรกลาง เข้าร้องทุกข์ผ่านสื่อมวลชนไปยังหน่วยงานเกี่ยวข้อง กรณีได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากเมื่อวันที่ 9 ก.พ. 2561 ที่ผ่านมา มีหมายศาลระบุเป็นคดีดำที่ ภ.4/2561 ศาลภาษีอากรกลาง วันที่ 11 ม.ค. 2561 ระบุ กรมสรรพากร เป็นโจทย์ยื่นฟ้อง บริษัท รุ่งรุจี ซัพพลาย จำกัด เป็นจำเลยที่ 1 กับพวกรวม 2 คน โดยมี นางนุ้ย พรมราช เป็นจำเลยที่ 2 โดยในเนื้อหาจากเอกสารสำนวนฟ้อง พบว่าเป็นความผิด เกี่ยวกับภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่ม และละเมิด เนื่องจากนางนุ้ย จำเลยที่ 2 ได้มีการเปิดกิจการในชื่อบริษัท บริษัท รุ่งรุจี ซัพพลาย จำกัด และมีชื่อเป็นผู้ชำระบัญชี มีสำนักงานที่ตั้งอยู่เลขที่ 15 หมู่ 1 ต.เขาเพิ่ม อ.บ้านนา จ.นครนายก และอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของสรรพากรพื้นที่นครนายก


แต่ในการเปิดกิจการประกอบธุรกิจของบริษัท รุ่งรุจี ซัพพลาย จำกัด ที่มีการจดทะเบียน นิติบุคคล ตั้งแต่วันที่ 24 ธ.ค. 2556 เพื่อประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องเขียน แบบพิมพ์ สื่อสิ่งพิมพ์ โดย นางนุ้ย พรมราช เป็นกรรมการผู้มีอำนาจแทน จนกระทั่งมีการตรวจสอบพบว่า ทางบริษัทได้เคยยื่นแบบ ภ.ง.ด.50 สำหรับรอบระยะเวลาบัญชีสิ้นสุด 1 ม.ค.2557 – 31 ก.ค. 2557 มีการแสดงรายได้จากการประกอบกิจการมากกว่า 36 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นรายได้เกินกว่ามูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อม ตามกฎหมาย หรือมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาท ต่อปี จะต้องมีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม พร้อมยื่นแบบการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย แต่ไม่มีการดำเนินการ และยังตรวจสอบพบว่า ทางบริษัทมีการยื่นแจ้งเปลี่ยนที่อยู่สำนักงาน อันเป็นเท็จ เพื่อเลี่ยงการชำระภาษี และมีการแจ้งขอยกเลิกจดทะเบียนบริษัท เมื่อ 22 ก.ย. 2557 ซึ่งได้ทำคำขอจดทะเบียนโดยมีกรรมการผู้มีอำนาจเพียงคนเดียวคือ นางนุ้ย พรมราช ตามกฎหมาย ทำให้มีการยื่นฟ้องร้องเรียกเก็บภาษี รวมถึงเบี้ยปรับ รวมเป็นเงิน กว่า 11 ล้าน 8 แสนบาท ซึ่งในเอกสารได้ระบุ วันนัดสืบพยาน ไกล่เกลี่ย วันที่ 23 เม.ย. 2561


ภายหลังได้รับเอกสาร นางนุ้ย พรมราช อายุ 57 ปี พร้อมด้วยสามี คือ นายทองคำ จิตค้า อายุ 59 ปี จึงได้นำเอกสารไปปรึกษาขอความช่วยเหลือ จาก นายทองม้วน กุลจู อายุ 66 ปี ประธานสภา องค์การบริหารส่วนตำบลพระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม เพื่อหาทางช่วยเหลือ พร้อมได้ไปแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หลักศิลา และเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรม จ.นครพนม เพื่อขอความช่วยเหลือ และขอความเป็นธรรม เนื่องจากเป็นคนฐานะยากจน ไม่มีเงิน ไม่มีรายได้ และไม่เคยมีกิจการ ตามเอกสารมาก่อน แต่มีความกังวลในเรื่องของคดี จึงออกมาเรียกร้องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งหาทางช่วยเหลือ เชื่อว่าถูกหลอกนำเอกสารไปดำเนินธุรกิจ




โดย นางนุ้ย พรมราช อายุ 57 ปี กล่าวว่า ปัญหาสรรพากรเรียกเก็บภาษี เชื่อว่าจะมีส่วนมาจาก กรณีที่มีคนรู้จักในหมู่บ้าน เป็นเครือญาติ ได้มาติดต่อเอกสารบัตรประชาชนไปทำประกัน ตนจึงนำสำเนาไปให้ แต่ไม่ได้เซ็นเอกสาร หรือเซ็นอะไรสักอย่าง เพราะตนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนไม่ได้ และไม่มีความรู้ ทำอาชีพหาเช้ากินค่ำ รับจ้างทั่วไปวันละ 100 -200 บาท แถมต้องมีภาระเลี้ยงดูสามี ที่ป่วยเป็นหอบหืด โรคเก๊าท์ ทำงานไม่ได้ และไม่มีลูก ยากจนดิ้นรนมากว่า 30 ปี ที่อาศัยอยู่ด้วยกัน มาถึงช่วงปี 2559 - 2560 เคยมีเอกสารมา 2 ครั้ง เป็นของกรมสรรพากร เรียกเก็บภาษีประมาณ 9 ล้านบาท จึงได้ไปร้องทุกข์ไว้ที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.นครพนม เพื่อขอความช่วยเหลือ และให้ตรวจสอบ และได้เงียบไป ตนไม่ได้สนใจ คิดว่าไม่มีอะไร เพราะไม่ได้ไปทำผิดอะไร จนมาล่าสุดมีหมายศาลถูกฟ้องร้องให้ชำระภาษีเงินสูงกว่า 11 ล้านบาท พอนำเอกสารไปให้เพื่อนบ้านดู แทบเป็นลม เพราะยอดเงินสูงมาก แค่เงินหลักพันยังหายาก มาเจอ 11 ล้านบาท ตกใจมาก แต่คิดย้อนหลังเชื่อว่ามาจากเอกสารที่เคยถ่ายสำเนาบัตรประชาชนให้ญาติ อ้างนำไปทำประกัน เชื่อว่านำไปทำธุรกิจ ทำให้เกิดปัญหาตามมา และเคยไปต่อว่าแต่ไม่มีใครสนใจ มาเที่ยวนี้เดือดร้อนมากอยากให้หน่วยงานช่วยเหลือ เพราะลำพังแต่ละวันยังไม่มีจะกิน ถ้าจะต้องไปขึ้นศาลที่ กทม.หรือไปติดต่อกับหน่วยงานคงแย่แน่ อยากให้เร่งช่วยเหลือด้วย



ส่วน นายทองม้วน กุลจู อายุ 66 ปี ประธานสภา องค์การบริหารส่วนตำบลพระกลางทุ่ง อ.ธาตุพนม จ.นครพนม กล่าวว่า ตนในฐานะเพื่อนบ้าน และเป็นผู้นำท้องถิ่น หลังทราบข่าวได้มาตรวจสอบ รวบรวมเอกสาร พาไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ รวมถึงร้องศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ไปจนถึงยุติธรรมจังหวัด ยืนยันว่า นางนุ้ย พรมราช ไม่เคยไปทำกิจการใหญ่โตแน่นอน ที่มาอาจเป็นเรื่องของการนำเอกสารไปดำเนินการ จึงอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหาทางดูแลช่วยเหลือ เพราะน่าสงสาร หาเช้ากินค่ำ ยิ่งมีเรื่อง ทั้งกังวล หวาดวิตก แทบไม่ได้กินไม่ได้นอน เพราะถูกฟ้องเรียกเก็บภาษีมากกว่า 11 ล้านบาท จึงอยากให้หาทางช่วยเหลือ ไม่อยากให้ทั้ง 2 คน ต้องเดือดร้อนไปวิ่งเต้น ชี้แจง เพราะลำพังทุกวันหาเงินซื้อข้าวกินยังลำบาก ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก หากเป็นไปได้อยากให้หน่วยงานลงพื้นที่มาตรวจสอบช่วยเหลือ เพราะทุกวันนี้ต้องหาค่าเดินทางไปติดต่อกับทางหน่วยงาน มีเพียงชาวบ้านที่สงสารช่วยเหลือ วอนขอความเป็นธรรมด้วย